ปกีระณำพจนาดถ์
ข้าพระพุทธเจ้าพระยาศรีสุนทรโวหาร คิดคำกลอนเรื่องนี้เรียกชื่อว่าปกีระณำพจนาดถ์
คือ เทียบแบบสอนในคำใช้ต่างๆ ว่าเรี่ยรายไป เพื่อไว้สำหรับนักเรียนในโรงเรียนหลวง
จะได้อ่านเล่าจำต้นข้อต่อลำดับในแบบสอนให้แม่นยำชำนาญ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าดำรัสสั่งให้พระเจ้า
ราชวรวงษ์เธอ กรมขุนบดินทรไพศาลโสภณลงพิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวง
ในพระบรมมหาราชวัง ๑๐๐๐ ฉบับ
ตีเสร็จ ณวันศุกร เดือนหก แรมสิบเอ็ดค่ำ ปีเถาะเอกศก ๑๒๔๑
๏ คำ คิดประดิดเค้า ขันขัน
กลอน กล่าวเลาเลศพันธ์ พาดพ้อง
สอน แจกแผนกปัน เปนหมวด
เด็ก นักเรียนอย่าร้อง ว่าแกล้งเกณฑ์สอน ฯ
๏ คำกลอนสอนเด็กได้ ดูจำ
ไวพจน์สังเขปคำ คิดไว้
นามเรียกปกีระณำ พจนาดถ์ แลนา
เพียรคิดเพียรคัดให้ เด็กรูราววรบิล ฯ
พระศรีสุนทระสร้อยโวหาร
คิดคะติเบาราณ เรื่องนี้
เปนฉบับอักษรสาร สอนเด็ก
เฉกเช่นชูมือชี้ ช่องให้เห็นทาง ฯ
๏ จะเริ่มริเกลากลอนสุนทรแถลง
นิพนธ์พจน์บทแยบแบบแสดง จะแจ้งแจงคำใช้ไว้เปนเลา
สำหรับเด็กนักเรียนได้เขียนหัด พอจำกัดทางโทษที่โฉดเขลา
จักเจริญเรื่องรู้อย่าดูเบา ดีกว่าเดาโดนคลำแต่ลำพัง
จะคิดคัดคำใช้ไว้เปนแบบอย่าง คำต่างต่างเติมติดคิดต่อตั้ง
พอเปนเครื่องเตือนใจระไวระวัง แม้นเขียนพลั้งเสียศักดิ์ภูมนักเรียน
คำที่ใช้ไว้วางต่างต่างเลศ ล้วนส่อเหตุใช่จะว่าเปนพาเหียร
อาไศรยแยบแบบมคธบทจำเนียร เปนที่อ้างอย่างเขียนให้ถูกคำ
ลางวาจาเล่าก็มาแต่พากย์อื่น มีดาษดื่นดิ้นฦกสุขุมขำ
ถ้าแม้นไม่ศึกษาอุสาหจำ ก็จะคลำคลุมโปงตะโพงดัน
(๑)
ตัวสกดกานกานสารนุสนธิ์ โดยยุบลหกอักษรจงผ่อนผัน
คือ
ญ ณ น ร ล ฬ ปัน
เปนส่วนกันใช้แปลกแยกตามความ
ตัว
ญ ใหญ่ใช้ตามมะคะธะ กาญจนะแปลว่าทองของสยาม
ท่านเจ้าเมืองกาญจน์บุรีผู้มีนาม แหวนนี้งามล้วนแล้วแก้วแกมกาญจน์
ขุนนางกรมช่างทองท่านรังสฤษฏ์
พระกาญจนานุกิจนามขนาน
ที่สกดณอใหญ่ใช้ว่ากาณ นิ่คำขานแต่มคธบทบาฬี
ท่านแปลว่าตามืดเสียจักษุ
รู้ให้ปรุโปร่งปอนอักษรศรี
ถึงคำไทยจะไม่ใช้ก็ตามที รู้ไว้ดีกว่าไม่รู้เปนผู้เรียน
กานสกดนอเล็กเด็กเด็กเอ๋ย เห็นแต่เคยคำไทยได้ใช้เขียน
กิ่งไม้ประระรานกานให้เตียน อุส่าห์เพียรบ่นเล่าให้เข้าใจ
การสกดตัวรอนี้ข้อขำ แปลว่าทำการงานบรรหารไข
อันสุดแท้แต่ว่าทำการใดใด คงต้องใช้รอสกดหมดทุกคำ
ข้าราชการ(๓)ขาดราชกิจ ราชการหมั่นพินิจอย่าให้ถลำ
ถูกเกณฑ์ก่อปราการต้านประจำ จดถ้อยคำทุกประการสารคดี
คนพิการเห็นเอาการพานจะผิด ปริษการให้เปนสิทธิ์แก่ฤาษี
ตระลาการทุกทุกศาลตระการมี คำเหล่านี้รอสกดบทว่าการ
ลอสกดบทกาลบรรหารเหตุ จงสังเกตคำใช้ที่ไขขาน
คือเวลาแลปีเดือนประมาณ กับที่ท่านจัดเปนวันปันเปนยาม
นาฬิกาทุ่มโมงบาดนาที วินาทีที่ใช้ในสยาม
จนถึงปราณแลอัปศรนับผ่อนตาม ลงในความคำว่ากาลสฐานเดียว
ปีน่าปีนี้อิกปีก่อน หนึ่งคำผ่อนว่าสักครู่สักประเดี๋ยว
ก็เรียกกาลเช่นกันฉะนั้นเจียว ยังลดเลี้ยวมาถึงความสามฤดู
คือน่าร้อนน่าหนาวแลคราวฝน ที่ชุ่มชลไปจนแล้งแห้งทุกผลู
น่าตรุศสารทปายาศอีกยาคู ทั้งเช้าตรู่เที่ยงสายแลบ่ายเย็น
ของเหล่านี้นับว่ากาลทุกสิ่งสรรพ์ พวกคืนวันชักมาว่าให้เห็น
กาลซึ่งมีหมวดใหญ่ในประเด็น ท่านจัดเปนส่วนอดีตอนาคต
ประจุบันบรรจบครบเปนสาม จัดโดยความทุกสถานว่ากาลหมด
(๓). เข้าใจว่าตรงนี้ตกคำว่า “อย่า”
อันปีเดือนเดือนที่ล่วงไม่เหลือลด นั้นกำหนดว่าอะดีตะกาลมี
กาลที่ยังคงเปนเห็นชัดชัด ท่านแบ่งจัดเปนปัจจุบันนี่
ส่วนข้างนายังไม่มาท่านพาที ว่าเดือนปีเปนอนาคตตะกาล
อายุสัตว์อิกอายุสาศนา ก็เรียกว่ากำสะโดยโวหาร
ที่สำหรับนับใช้ในประมาณ พุทธสาศนากาลลวงแลยัง
หนึ่งแผ่นดินโดยนับลำดับกษัตริย์ ถวัลย์รัชเดือนปีเปนที่ตั้ง
ที่เรียกว่ารัชแต่ปฐมมัง ตลอดทั้งสองสามตามนุกรม
พระสงฆ์อยู่พรรษกาลจำวรรษา ท่านใช้มาในบาฬีก็มีถม
เวลากาลโวหารหากนิยม ลอประสมเช้ากับกาใช้ว่ากาล
คำกาฬะฬอใหญ่ใช้สกด มีตัวบทแบบใช้ไม่วิตถาร
เดือนข้างแรมไม่สู้แจ่มชัชวาล ใช้ว่ากาฬปักษ์ดำคล้ำมั่ว
องค์นารายน์ทรงสุบรรณนามขนาน ว่าพระทรงถนิมกาพรู้กันทั่ว
มหาเมฆมหากาฬบันดาลกลัว สกดตัวฬอใหญ่ใช้กันมา
กาฬตัวนี้ศรีดำคำมคธ มีกำหนดใช้เห็นเช่นดังว่า
กานนิยมสาขกหกวาจา จงอุสาห์จำให้แน่อย่าไขว้เขว
ถ้าจับพลัดจับพลาดคาดคะเน จะซวดเซเซ่นอย่างหลักที่ปักเลน
แม้นประชุมสวนสอบจะตอบได้ เขาจะโห่เย้ยฉาวเช่นกราวเฃน
ตัวไม่อาจโต้เถียงต้องเอนเอียง เพราะไม่เจนจิตรดำรงคงแก่เรียน
(๒)
อันที่พึ่งน้ำผึ้งทั้งสองพจน์ ต้องกำหนดที่ในการจะอ่านเขียน
อย่าให้คละปะปนคิดวนเวียน ถ้าจะเขียนที่พึ่งใช่ตัวพอ
ไม่ต้องตริไม่ต้องตรึกไปฦกซึ้ง เขียนน้ำผึ้งรวงผึ้งใช้ตัวผอ
(๓)
คำอยู่อย่าอย่างยากอย่างนั้นนำออ เอาตัวหอนำก็ได้แต่ไม่ดี
ดู่ขัดตาหาเหมือนออไม่ เพราะเช่นใช้
มีมากเปนสากษี
(๔)
คำเสียงยาวเสียงสั้นนั้นก็มี ดังวาทีมือเท้าท้าวพระยา
ช่างเขาเบิกเงินตราไปห้าชั่ง กระทะตั้งเดียวกายยาวเลขา
เกาที่คันคำสั้นโดยสัญญา ก้าวบาทเก้าย่างถิ่งทางตรง
ยวนเขาว่าท่านกลางหว่างล้ำคีรีวง ใช้ ให้คงคำคู่ดูละคร
เชากับเชาเปลี่ยนแปลงแทนกันได้ เห็นท่านใช้คำเหมือนไม่เคลื่อนที่
เช่นคำว่าโปรดเกล้าเชาบุรี ถึงขวบปีชาวต่างประเทศมา
อีกคำพูดพวกเราเชาวน์ไม่เล่น นี่แตะแค่นเอามคธภาษา
มาพูดใช้ไขขานครั้งนานมา คนเจรจาแพร่หลายกลายเปนไทย
เดากับกาวคู่นี้ก็มีชัด ควรจะจัดยาวสั้นออกชานไช
คนเขลาเขลามักเตาะตะบึงไป ตำราดาวนี้ของใครเอาไว้ดู
(๕)
อนึ่งว่าผู้ชายคล้ายผู้หญิง คนรู้จักคงแก่เรียนเขียนว่าผู้
แต่คนอ่านก็คงอ่านขานว่าภู ถึงกระนั้นก็จงรู้ว่าผู้โท
(๖)
คำถ้าท่าหน้าเบื่อเหมือนว่าเล่น ข้าเจ้าเห็นใช้เปรอะเลอะอะไร
ด้วยความที่ควรเอกไปใช้
โท เพราะมัวโม่หไม่สังเกตซึ่งเหตุการณ์
อันโทใช้ที่บริกัป คำสำหรับเขียนใช้จะไชชาน
ถ้ามีใครไปมาก็ช้านาน ถ้าพบพานแล้วจะทำให้หนำใจ
ตัวท่าเอกออกสยามภาษา เหมือนคอยท่าอยู่ที่ท่าชลาไหล
ขุนนางฝ่ายกรมท่าว่ากระไร ละครในรำช้าเปนท่าทา
อันหน้าโทใช้ที่มีชีวิต คือลิขิตหน้ามนุษยสัตวทุกอย่าง
หน้าหนุ่มสาวรื่นรวยสวยสำอาง พระยาช้างหน้าผึ่งผึ่งถึงจะดี
น่านบันหน้าบ้านทั้งน่าโบถ ยาวถึงโยชน์น่าเมืองรุ่งเรืองศรี
อีกน่าหนาวน่าร้อนผ่อนทวี เขียนน่าเอกใช้ที่ไม่มีใจ
(๗)
คำว่าบังแลบางอีกบั้ง บ้างความก็ต่างจงวิจารณ์จะชานไช
เหมือนบังแทรกบังสุริโยไทย ชักเชือกไชม่านมิดให้ปิดบัง
หนึ่งคำว่าหนาบางอีกบางพลัด บ้านบางช้างโควัดถัดบางชัง
บางลัดกรูดบ้านบางพูดเหนือบางพัง อย่าเขียนบังผิดเสียงสำเนียงบาง
คำว่าบ้างแลบั้งทองของจางวาง นึกวินิจเขียนให้ชัดอย่าขัดขวาง
ตาบกระบี่บั้งทองของจางวาง พวกขุนนางชัดกระบี่บั้งเงินงาม
คนอ้วนเหลือล้ำเนื้อเปนบั้งบั้ง เอาชิ้นชั่งน้ำหนักอย่าพักถาม
เอามีดบั้งให้เปนแผลแล้วแล่ตา บั้งนี้ความเปนรัศสะอย่าละเลย
หนึ่งว่าบ้างไว้บ้างเถิดนางสุด ช้าก็อุตริบ้างพูดเฉยเฉย
บ้างก็เรียกทักทายพิปราบเปรย บ้างก็เงยบ้างก็ก้มบ้างล้มตึง
เองไปขุดไข่เต่าให้เราบ้าง ที่มันกว้างบ้างก็โลดโดดไปพลาง
(๘)
คำว่าเป่าแล้วป่าวคราวจะเขียน ถ้าผิดเพี้ยนตัวไม่ชัดก็ชัดขวาง
เปนยาวสั้นสรรว่าในท่าทาง จะจัดวางคำใช้ไว้ให้ดู
เหมือนลงยันต์ลงเลขแล้วเศกเป่า มันเปนเด็กรู้ไม่เท่าต้องเป่าหู
หัดเป่าขลุ่ยเป่าปี่ดีเพราะครู เป่าฟู่ฟู่เป่าเพลิงลุกเริงเรือง
ที่เสียงยาวปาวปาวป่าวประกาศ ป่าวร้องราษฎร์เร่งดูให้รู้เรื่อง
พอร้องป่าวข่าวขุ่นวุ่นทั้งเมือง นี่แยบเยื้องป่าวพอเข้าใจ
(๙)
กำกำม์กรรมสามคำนี่จำยาก ข้อวิภาคอธิบายขยายไข
อย่าคำโคลนโดนเดาเชาวน์ไวไว คงจำได้ดอกอย่ากลัวตัวมันมี
เหมือนกำผักกำมืออีกกำหมัด บรรจงจัดรถทองให้ผ่องศี
ดุมปะแหรกแอกกำกงมณี เกวียนก็มีซี่กำค้ำกับคุม
อันตัวกำกกาสามัญหมด ใช้แต่บทคำไทยไม่สุขุม
หนึ่งกำม์มอการันต์นั้นก็ชุม เห็นเคลือบคลุมข้างเปนบทมคธปน
สำหรับใช้ในกลอนกาล้วน ตามขบวนแบบบังคับไม่สับสน
เหมือนเจ้ากำม์ซ้ำเอาเค้ายุบล อ่านทุกคนแต่ไม่จำไม่ลำภา
กรรมแม่เกยตัวมอมีรอกัน คำท่านสรรแต่มคธภาษา
บอกให้ทราบบาปกรรมเช่นร่ำมา อีกคำว่าเคราะห์กรรมก็จำเปน
ที่บางคนบ่นว่ากรรมของเราแล้ว มาประสบพบแก้วไม่แลเห็น
กรรมวิบากหากให้ได้ลำเคญ มาขุกเข็ญก็เพราะกรรมที่ทำมา
(๑๐)
หนึ่งใช้คำหมอบเฝ้าและเฝ้าของ โดยทำนองใช้เฝ้าตัวฝฝา
ใช้ตัวพอไม่ถนัดดูขัดตา ด้วยใช้มาแต่แก่เก่านั้นเฝ้าโท
(๑๑)
อุส่าห์จำอุส่าห์เพียรเขียนให้ถูก ข้าเพราะปลูกคำใช้ไว้อะโข
เหล่านักเรียนชั้นเล็กและชั้นโต เลี้ยงแต่โง่ไว้ให้อ้วนควรฤาไร
ครูสอนเล่าเรียนเขียนไม่ขาด ไม่ฉลาดจำแยบที่แบบไข
ช่างฟั้นเพื่อนเลือนเลอะเงอะงงไป รู้ก็ไม่แท้รู้เปนงูปลา
อันยศศักดิ์ทรัพย์สินทั้งสิ้นเสร็จ ย่อมสำเร็จได้ดังมาดปรารถนา
เพราะต้นทุนคุณเพียรเรียนวิชา ที่สะสมศึกษาสารพรรณ
อุส่าห์จำเถิดจะร่าสอนไห้สิ้น เบื้องระบินแบบละบองของขันขัน
เช่นอย่างข้าค่าฆ่าประดากัน ทั้งสามคำสำคัญท่านไว้วาง
คำสูงใช้ว่าข้าพระพุทธเจ้า จงจำเค้าใช้ให้อย่าขัดขวาง
กับคำว่าข้าพเจ้านี้คำกลาง ใช้ในทางถ้อยความตามกระบวน
ข้าพระพุทธเจ้าชื่อนั้นนี้ ข้าพเจ้านายศรีเปนชาวสวน
ที่ลดหย่อนผ่อนใช้จงใคร่ครวญ คำที่ควรสูงต่ำโดยตำรา
บางคนเขียนว่าข้อพระพุทธิ อุตริเขียนกันกลุ้มชุมนักหนา
ด้วยใจรักมักง่ายคลายปัญญา ไม่ค้นหาตนเค้าเตาตะบึง
ลำดับถัดจัดว่าข้ากับเจ้า ข้าจะเอาแต่ว่าข้าคว้าไม่ถึง
ใครมายุแยงข้าเขาด่าอึง ควรรำพึงความเช่นว่าใช้ข้าโท
ค่าเอกนี้ใช้ค่าราคาขาย อีกค่าจ้างร้างบายจ่ายอะโข
ค่าเช่าเรือค่าเช่าโรงตั้งบ่อนโป อีกค่าโสหุ้ยหวยค่าป่วยการ
ความดังว่าใช้ค่าไม้เอกหมด ควรจะจดจำใช้ให้วิตถาร
ฆ่าตัวนี้ฆ่าให้ตายถึงวายปราณ แบบบุราณใช้มาเป็นอาจิณ
(๑๒)
หนึ่งเข้าออกอีกเข้าเปลือกเข้าสารสุก แบบทำนุกเข้าโทโดยถวิล
เค่าเอกใช้ไม่สมนิยมยิน ไม่เห็นถิ่นที่จะใช้ในกระบวน
(๑๓)
ทำธำม์ธรรมสามคำจำให้ได้ คือคำไทยว่าทำนาแลทำสวน
สารพัดทำงานการทั้งมวญ บังกับควรทำแน่แม่กกา
ธำม์ตัวนี้มิใช่คำสยาม ท่านใช้ตามติดมคธภาษา
เหมือนกับละพระสธำม์เช่นร่ำมา ในคำเทียบแม่กกาตำราครู
ธรรมตัวนี้ถูกที่มคธพากย์ ทั้งสามคำจำยากหนอพ่อหนู
อุส่าห์คิดค้นหาไตรตราดู คงได้รู้ที่จะใช้ถูกใจความ
(๑๔)
อิกข้างค่างคิดกระบวนให้ถ้วนถี่ ค่างเอกนี้ค่างลิงวิ่งผลีผลาม
ข้างในออกข้างนอกดูอย่าวู่วาม ข้างบนตามไปข้างล่างนี้ข้างโท
(๑๕)
หนึ่งว่าหว้าย่าหญ้าก็ควรคิด จะเขียนใช้อย่าให้ผิดดีอะโข
ต้นหว้านี้ชอบกลผลโตโต ถัดบ้านโพถึงบ้านหว้าเวลาเย็น
ว่าเอกใช้ในคำที่ว่ากล่าว ว่าโน้มน้าวพูดจาว่าให้เห็น
ว่าก็ชอบในระบบที่เคยเปน อย่ามาเล่นว่าหว้าภาษาไทย
(๑๖) คำปู่ย่าย่าเอกท่านเศกสรร หญ้าโทนั้นใช้ว่าหญ้าไสว
คือหญ้าแพรกหญ้าคาอีกหญ้าไทร หญ้านี้ใช้สรรพหญ้าบันดามี
(๑๗)
ในคำลาวกล่าวว่าข้อยใช้แทนข้า ค่อย ๆ มาก่อนค่อย ๆ ไปอย่าไผล้หนี
คำค่อยเอกเศกใส่ในวะจี จำให้ดีนะอย่ารั้นดันทุรัง
(๑๘) หนึ่งคำว่าหนังสือไม่ผิดเพี้ยน ทุกคนเขียนหอนำคำว่าหนัง
แต่เสียงอ่านพานไม่ชัดพลัดเปนนัง คำนี้พลั้งพวกมากลากเอาไป
ออกสำเนียงเสียงว่านังอยู่ทั้งสิ้น จะตัดสิ้นผ่าผืนขืนไม่ไหว
ถึงอ่านว่าเปนนังก็ชั่งใคร เราเขียนคงหนังไว้ก็แล้วกัน
(๑๙) หนึ่งเยาว์นี้มิใช่คำไทยแท้ เหนมาแต่คำมคธภาษาสรร
อักษรส่อคือตัววอเปนการันต์ บอกความสำคัญว่ามคธบทบาฬี
เหมือนคำว่าข้าเห็นพระลูกเจ้า ทรงพระเยาว์ยังไม่รุ่นจำเจริญศรี
หนึ่งนารีที่เยาว์เค้าคดี อีกว่าที่ยุพโยคยุพเยาว์
เด็กคนนี้ไม่ผอมย่อมเยานัก เยาวลักษณนี้เปนหลานแม่โฉลมเฉลา
เยาวมาลย์ช่วยสมานสมรเรา คำว่าเยาว์เขียนใช้ต้องใส่วอ
(๒๐) กลอักษรผ่อนใช้ให้ประจักษ เช่นฉันชักเชิดชี้เท่านี้หนอ
ถ้าจำได้ใช้คล่องไม่ต้องรอ ก็เห็นกอจะสว่างรางรางเรือง
หนึ่งซ่มส้มเชื่อเสื้อเหลือจะบอก เฃียนย้อนยอกเขว่ไขว้ไม่ได้เรื่อง
ทั้งเอาโทใช้กันชุมกลุ้มทั้งเมือง สุดจะเปลื้องสงไสยไม่ให้แคลง
(๒๑)
คำขู้คู่ดูสังเกตเหตุอะโข ตัวขู้โทท่านมิได้ใช้สักแห่ง
เหมือนเรือตั้งทั้งคู่มี่ภู่แดง เรือคอนแข่งกันเปนคู่ดูดังลม
อันตรายชูนี้เป็นคู่กับตราชั่ง เครื่องกินตั้งเป็นไว้คู่กับพานถม
หญิงกับชายเชยชู้เป็นคู่ชม ใช้นิยมคู่เอกเปนอัตรา
(๒๒) หนึ่งค่ำซ้ำสองคำจำให้แน่ ท่านใช้แต่ค่ำเอกดอกหนาจำ
เหมือนสายัณห์เย็นย่ำค่ำเวลา วันขึ้นห้าหกค่ำจะทำงาน
ข้ำโทนั้นไม่มีที่จะใช้ ท่านผันไว้กอให้ครบคำขนาน
ถึงคำโครงจะเอาใช้ก็ใช่การ ผิดบุราณท่านบังคับจะอับปรี
(๒๓) หนึ่งค่อข้อสองคำประจันผัน พอครบครันเสียงสามไว้ตามดี
ท่านใช้แต่ตัวขอข้อคะดี เหมือนข้อนี้ข้อนั้นท่านสรรคำ
ข้อผิดฃ้อชอบเร่งสอบสวน ข้อสำนวนต้องระวังพลั้งถลำ
อีกข้อมือข้อบาทางค์ข้างสะดำ นี่สำคัญนักมักจะแผลง
ฃ้อนี้ไซร้ท่านใช้ข้อโทสั้น โดยระบินถ้วนถี่ชี้แถลง
(๒๔) ใฃ้กับไค่สองทางอย่างคลางแคลง คำที่แตงแจกใช้นั้นไซ้โท
ไข้จับไข้เหนือเจือไซ้พิศม์ กินยาผิดไข้กลับยับอะโข
ไข้บิดแยบแอบแฝงไฃ้แตงโม มันกินจนพุงโรดังโคเกวียน
(๒๕)
ที่คำใช้กันว่าไค่อีกว่าค่าย อย่ามักง่ายงมคลำในคำเขียน
เหมือนกะเกณฑ์ตั้งค่ายตัดไม้เตียน ทำแนบเนียนน่าค่ายนั้นรายคน
อย่าหันเหียนเขียนค่ายว่าเปนไค่ ไม่ควรใช้ก็อย่าใช้สับสน
(๒๖)
อีกข้องค่องข้อนค่อนกลอนนิพนธ์ โดยยุบลคำลม้ายภอคล้ายคลิ่ง
ข้องโทนี้ใช้ที่ว่าขัดข้อง กับเกี่ยวข้องข้องระคนคนกลิ้ง
ค่องนี้ใช้ใส่ปลาว่ากันอิ่ง กับเกี่ยวข้องข้องระคนคนกลิ้ง
ข้อนโทนี้ใช้ที่ว่าข้อนอก แสนวิตกข้อนทรวงอยู่ผางผาง
ที่แสนงอนช้อนให้ไม่ไว้วาง ไปค่อยทางถิ่งที่ประทับพล
(๒๗)
อนึ่งคำถ้วนท่วนควรถวิล นิยมยินถ้วนโททุกแห่งหน
เหมือนคำว่านับถ้วนจำนวนคน แต่ไพร่พลถ้วนหมื่นพื้นฉกรรจ์
แลคำว่าท่านผู้ดีมักถี่ถ้วน ก็คำควรโททุกสิ่งสรรพ์
ท่วนเอกนี้ท่านไม่ใคร่ใช้จำนัญ ชี้สำคัญท่วนถ้วนก็ควรการ
(๒๘) ว่าด้วยถ้วนเสรจสรรพกลับปรารภ ตัวภพพบเติมต่อข้อบรรหาร
พบตัวนี้ใช้ที่ว่าพบพาน พบตาปานกับยายเปี่ยมไปเทียมโค
ภพตัวนี้มีในพากย์มคธ เช่นดังบทภพโลกยนาโถ
เจ้าพิภพทรงหงษอีกทรงโค ฤทธิ์มโหฬารลบภพไตรย
ภพภพนี้บาฬีว่าภาวะ ท่านแปลงวะไปเปนพะแถลงไข
อ่านสะกดตามกำหนดข้างคำไทย ก็อ่านใช้กันว่าภพบันจบความ
(๒๙) หนึ่งผ้ายพ่ายโทเอกอเนกนับ ใช้สำหรับอยู่ประจำคำสยาม
ท่านใช้ว่าผุดผ้ายไปตามพราหมณ์ ตกในความว่าผุดลุกจรถี
เตลงพ่ายเอกนี้ว่าแพ้แปลขยาย เหมือนคำว่าโจรร้ายมันพ่ายหนี
เตลงพ่ายยวนพ่ายนิยามมี สองวารีเทียบตำหรับฉบับบรรพ์
เตลงพ่ายอธิบายว่ามอญแพ้ อีกคำแปลยวนพ่ายไม่ผิดผัน
ว่าลาวแพ้แต่ต้องจำที่สำคัญ ว่ายวนนั้นก็ไมไผล้เปนลาว
คำว่ายวนยกเปนชื่อลาวน้ำหมึก ความนี้ภูกจะใคร่รู้ดูสืบสาว
พวกพุงดำนิร่ำแต่เพรงคราว เขาเรียกชาวโยนกคำเดิม
ที่ต้นคำซ้ำตัดว่าโยนะ แปลงเอาโอไปเปนวะสรรเสิม
อ่านว่ายวนาควรฃ้อไม่ต่อเติม ที่คำเดิมโยนางค์ราชวงษ
ผู้รู้แท้แก้ไขไว้ฉะนี้ ดีมิดีดูความตามประสงค์
พากย์หะริภุญไชยก็ใช้ตรง จะเหนลงว่าไม่งามก็ตามใจ
(๓๐) หนึ่งฎีกานี้ภาษามคธพจน์ โดยกำหนดนั้นต้องเขียนตัวฎอใหญ่
แต่ในกาลคนทุกวันสำคัญใจ ว่าเปนคำคนไทยใช้นิยม
ในฎีกาขุนวิชิตชลหาญ จะต้องการดีกาทำยาขม
อุส่าห์ตรอกแทรกรู้มีผู้ชม ดีกว่างมงำโง่โตแต่ตน
(๓๑) จรเข้แลจะเข้อีกตะเฆ่ จงรู้เล่หวาจาอย่าฉงน
จรเข้สัตวร้ายในสายชล มันกินคนคาบพาในวารี
ดีดจะเข้เร่นิ้วดูพลิ้วพลิก กระจุกกระจิกเช่นเพลงกระจับปี่
ในคำเรียกว่าจะเข้เครื่องดนตรี จงรู้ที่เขียนใช้ถูกใจความ
อีกลุกล้อลากไม้ใช้กันถม คนนิยมเรียกตะเฆ่คำสยาม
ทั้งสามคำจำให้อยู่อย่าวู่วาม ถ้าผลีผลามมักง่ายจะอายคน
(๓๒)
ตรวจกับกรวดคู่นี้ชี้ให้ชัด จงจำคำให้ถนัดอย่าขัดสน
ตอกับกับรอจอสกดบทยุบล
ท่านใช้ว่าตรวจพลอีกตรวจตรา
ตอสกดตัวกอรอประโยค สารโสลกข้างสยามภาษา
ว่าตรวดทรายรายพื้นพสุนธรา สองวาจานี้ละม้ายคล้ายสำเนียง
(๓๓) หนึ่งคำว่ากรงตรงจงสำเนียก บัญญัติเรียกรายแยกให้แปลกเสียง
เหมือนน่าต่างลูกกรงตำรงเรียง จับเพนียดวางเคียงกับกรงนก
ทางนี้ตรงไปทีเดียวไม่เลี้ยวลด ตรงไปจดจนถึงห้างหนทางบก
คนซื่อตรงควรดำรงที่นายก เปนดิลกเหล่าเสวกากร
ควรกำหนดวาที่ที่ประสงค์ คำกรงตรงใช้ยักในอักษร
เฃียนให้ถูกดุจถ้อยสุนทรกลอน อุทาหรณ์ตัวอย่างวางประจำ
(๓๔ ) จะคิดค้นมาประดนประดับไว้ อีกไกรไตรอยู่ล่อล่อก็ฃ้อขำ
ฤทธิไกรเกรียงไกรท่านแปลว่ายิ่งกว่า อุส่าห์สำเนียกนึกแล้วตฤกตรอง
คำว่าไกรนี้ท่านแปลว่ายิ่งกว่า ดังพ่อค้าขายได้กำไรของ
อันคำไกรกับกำไรก็สมพอง โดยทำนองคำแผลงแสดงตรง
ตอกับรอเขียนว่าไตรใช้จงชอบ ตามระบอบแบบใช้อย่าไหลหลง
แปลว่านับแลว่าสามความจำนง เฃียนให้คงคำใช้ว่าไตรตรา
กับไตรรัตนไตรยแพทพิเศศสอน ไตรยวิจรไตรยบีฎกไตรยสิกขา
อีกไตรยุคไตรยางษ์เปนอย่างมา พระศรีไตรยสระณาสมาคม
ทั้งสองคำจำให้ชอบประกอบใช้ เหนเฃวไขว้วาทีก็มีถม
มาเขียนไกรว่าเปนไตรใครจะขม จะนิยมก็แต่ฝ่ายมักง่ายเดา
(๓๕) กรองกับตรองสองคำจำให้แน่ ได้กันแก้ทางโทษที่โฉดเขลา
กรองนี้ใช้กรองน้ำโดยสำเนา ตรองนี้เค้าคำว่านึกว่าตฤกตรอง
(๓๖) อิกคำคู่คือนครกับตอนหาบ คนที่อยากเฃียนนครเปนคอนฃอง
บางคนเขียน
ณ ใหญ่เข้าใช้รอง ผิดทำนองนักเรียนเฃียนหยาบคาย
อันนครคำนี้จะชี้เรื่อง
แปลว่าเมืองคำมคธบทขยาย
ถึงคนไทยก็ได้รู้อยู่มากมาย ไม่ควรกลายกลับนครเปนคอนเรือ
(๓๗) อนึงคำนอเล็กกับณอใหญ่ เหนเฃียนไขวเขวกับออกฟั่นเผื่อ
คำนอเล็กกลับมาใช้ณอใหญ่เจือ จะสอนเผื่อไว้ให้จำคำนอณอ
ประเพณีธรณีมะณีแก้ว แต่ล้วนแล้วณอใหญ่ท่านใช้หนอ
พระมุนีธานีนี่ตัวนอ จำไว้พอเปนต้นทุนหนุนปัญญา
(๓๘) ลอกับฬอต้องระวังดูจังหวะ ที่ควรจะใช้ลออะไรหนา
เช่นกับคำบาฬีซึ่งมีมา แลคำว่าสาลีนี้เปนครู
(๓๙) หนึ่งศุขสุกทุกข์ทุกทั้งสี่พจน์ อุส่าห์จำกำหนดเถิดพ่อหนู
จะแยกแจงแจกออกให้ดู คงได้รู้ที่จะใช้ถูกใจความ
อันตัวศุขศอกอขอสะกด คำมะคธดอกมิใช่คำสยาม
ท่านแปลว่าศุขสบายขยายความ กับอีกนามวันศุกรเติมตัวรอ
อันสุกนี้คำไทยใช้กันเกลื่อน คำเทียบเหมือนหนึ่งเข้าสุกที่ในหม้อ
ผลไม้สุกห่ามงามลออ ชาดในห่อแดงสุกดูสดดี
สุดแต่สุกคำไทยที่ไหนที่นั้น กอสกดเท่านั้นถูกตามที่
อย่าลามลวนตัวขอต่อทวี ลงบาญชีอุตริเขาติเตียน
ที่ตัวทุกข์มีขอทัณฑฆาฎ คำนักปราชสอนไว้ให้อ่านเขียน
คือเปนคำในมคธบทจำเนียร ถ้าใครเขียนทุกเปล่าไม่เข้าการ
สำหรับใช้ในที่ว่าทุกข์ยาก แสนลำบากใภยใช้วิตถาร
มาต้องทุกข์ขุกเข็ญไม่เว้นวาร ทุกข์นี้จานเจือข้อขอการันต์
ที่คำทุกตัวทอกอสกด ต้องด้วยบทคำไทยอย่าใฝ่ฝัน
เช่นใช้คำว่าทุกค่ำทุกคืนวัน ทุกเซ็กซันกอมปะนีต้องมีนาย
เกณฑ์ทุกบ้านการทุกเมืองยังเคืองขุ่น ทุกหลากหลายมากมายหลายจนเหลือจำ
อันสุดแต้แต่ว่าทุกคำสยาม ใช้ในความสามัญไม่ขันขำ
ต้องที่แต่กอสกดบทลำนำ อย่าถลำเขียนตัวขอเข้าต่อเติม
อิกคำว่าผาศุกสนุกนี้ เหนบางที่เอาตัวขอเข้าต่อเสริม
ก็ผิดจากคำมคธที่บทเดิม อย่าเฉลิมให้มันเลยจะเคยตัว
เหมือนเด็กว่าเองเอ๋ยจะเลยแก่น ที่นักปราชหนักแน่นจะแย้มหัว
ถ้าเหลิงล้นจนเฃาว่าก็น่ากลัว ซื่อจะชั่วเสียเพราะล้นคนดำเนียน
(๔๐) หนึ่งบัญชรบาญชีนี้ก็ยาก จะวิภาคตัดสินในคำเฃียน
ให้สมศิศย์มีครูเปนผู้เพียร ถ้าจะเขียนคำสั้นว่าบัญชร
คือตรงแฃวนกรงตั้งที่ขังสัตว์ หนึ่งท่านตัดวาจาอุทาหรณ์
ว่าพระแกลชื่อสิงหบัญชร ก็เพราะผ่อนอ้างว่าที่มีสิ้กรง
อิกคำหนึ่งบัญชาว่าบังคับ เปนฝ่ายรัศสะศับท์อย่าใหลหลง
ไม้กงหันสรรใส่ไว้ให้คง อย่าจำนงลากข้างอ้างว่าบาน
ที่คำยาวนั้นท่านกล่าวว่าบาญชี บาญตัวนี้ญอสกดบทบรรหาร
สอบบาญชีสี่รายจำหน่ายการ ทั้งสี่บาญถูกกันไม่พรั่นกลัว
บางคนเฃียนบาญชีนี้ว่าบัญ มาทอนสั้นเสียไม่พ้นคนจะหวัว
เพราะงึมงงมักง่ายเหมือนควายวัว ไม่รู้ทั่วในวาจาภาษาคน
(๔๑) อีกสามคำไม่ไหม้กับม่ายนี้ จะช่วยชี้ไว้ให้ชัดอย่าขัดสน
ไม่เอกนี้ปฏิเสธเลศยุบล คือไม่จนแลไม่จำไม่รำคาน
อีกไม่มาไม่ไปทั้งไม่อยู่ ไม่ได้รู้ไม่ได้เหนเปนแก่นสาร
บุตรไม่ขอพ่อไม่ให้ไม่ได้การ ไม่นี้ใช้สาธารณ์ในคำไทย
ไหม้ตัวมอหอนำไม้โทกด ต้องเวยบทร้องเปิ่งเปิ่งว่าเพลิงไหม้
อันม่ายเอกแม่เกยพิเปรยไป นั้นท่านใช้ว่าผู้ชายเปนม่ายเมีย
กับหญิงที่ผัวตายวายชีวิตร ฤาผัวปลิดปลดห่างอย่าร้างเสีย
ถึงชายอื่นจะมาเฝ้าเคล้าเคลีย เขาคงว่าได้เมียแม่ม่ายชม
อิกสองคำม่อหม้อก็พอคิด เห็นเฃียนผิดเคลื่อนที่ก็มีถม
คนต่ำเตี้ยม่อต้อข้อนิยม เสาตะม่อใหญ่กลมเอาไว้กลาง
ประจุฟืนเต็มเตาจะเผาหม้อ ที่ฬ่อฬ่อเชื้อไฟไม้ทองหลาง
ที่บ้านหม้อนั้นก็ภอจะไว้วาง คำตัวอย่างม่อหม้อพอสำคัญ
(๔๒) ร่ายกับไร่ใช้เฃียนอย่าเพี้ยนผิด เสียงสนิทสั้นยามท่านกล่าวสรร
ตาหมอร้ายร่ายพระเวทวิเศศครัน สกุณผันร่ายเร่ขึ้นเมฆิน
ทำนองหญิงรักชายออกร่ายเราะ จะได้เคาะแคะชมสมถวิล
ทำนาสักสามไร่พอไว้กิน
นี่เฃตรถิ่นไร่ถั่วกับงา
นี่คำใช้ไร่นาทั้งเรือกสวน ตามกระบวนร่ายไร่คำไทยหนา
แม้นเฃียนชอบที่ประกอบในวาจา เขาชมว่าเปนบัณฑิตย์ศิศย์มีครู
(๔๓) อุส่าห์จำเถิดจะร่ำให้สิ้นสุด ยังสมุทกับสมุดนี้คำคู่
คือสมุททอสกดกำหนดดู ก็จงรู้ว่ามคธบทบาฬี
ในคำแปลว่ากระแสทะเลฦก
จงตริตริ่กความประกอบให้ชอบที่
ดอสกดพจน์สยามความก็มี
ต้องใช้ที่สมุดขาวสมุดดำ
ที่บางคนเขียนใช้สมุจยะ ภาษาพระฝ่ายข้างวัดจัดเนกขัม
สมุดนี้ของไทยใช้ประจำ ไม่ควรค้ำให้มันเขินจนเกินเกณฑ์
พวกบ้านบ้านมักจะพาลพาโลติ ว่าอุตริเปนตำราขรัวตาเถร
อันคิดคิดนี้ยากต้องบากเบน ไม่ควรเกณฑ์ก็อย่าเกณฑ์ให้เกินกิน
(๔๔) อิกสองคำฉ้อช่อภอสังเกต ใช้ให้ต้องตามเหตุควรถวิล
คนขี้ฉ้อหมดความตามระบิล ฉ้อเอาสินฉ้อเอาทรัพย์ต้องปรับปรุง
อันช่อเอกใช้ช่อดอกไม้หมด สุคนธรศช่อไสวใกล้ลหุ่ง
ช่อมะม่วงช่อมะกอกดอกพยุง นาคสดุ้งช่อฟ้าสง่างาม
(๔๕) พูดกับภูตสองคำจำให้แน่ พูดนี้แท้ใช้ประจำคำสยาม
เหมือนพูดเล่นเจรจาพูดว่าความ ตามแบบบทเบาราณท่านชานไช
ที่บางครูเห็นจะรู้นั้นล้นไป บังคับใช้คำพูดสกดจอ
ด้วยอ้างว่ามาแต่วะจะธาตุ แต่นักปราชท่านไม่เหนลงออหอ
ก็คงที่ควรเขียนสกดดอ เห็นเพียงพองามใช้คำไทยตรง
ภูตที่ใช้ตัวภอตอสกด มิใช่บทคำไทยอย่าใหลหลง
ว่าภูตผีในบาฬีท่านแปลคง ใช้จำนงมหาภูตแลภูตพราย
(๔๖) พักภักตรภักดิ์ภักษ์มีทั้งสี่ศับท์ บทบังคับแปลกแยกขยาย
ยันพักนี้คำสยามความธิบาย คืออยุดพักพอสบายแลพักพล
ภักตรนี้คำกำพุชสมมุติว่า คือดวงหน้าใช้แพร่งทุกแห่งหน
ว่าผิวภักตรวรภักตรพิมล แทบทุกคนรู้แปลได้แน่นอน
ภักดิ์ตัวนี้เดิมที่เปนภัตดิ ในลัทธิเรียนร่ำท่านพร่ำสอน
แผลงเปนภักแม่กกยกสุนทร ดิอักษรจัดว่าเปนการันต์
ท่านใช้ว่าดังพระยาบำเรอศักดิ์ สวามิภักดิสุจริตไม่บิดผัน
หลวงมหาใจศักดิ์ได้รักกัน เช่นนี้นั้นแปลประจักษ์ว่าภักดี
คำมคธบทเดิมว่าภัตดิ ตามลัทธิสังสกฤษฎอักษรศรี
แผลงตัวตะไปเปนกะสระมี จึงกลายเปนภักดิ์เช่นนี้นา
ที่ใช้ตรงว่าภักดีก็มีมาก เปนคำหลากในสยามภาษา
พระยาราชภักดิ์มีสมยา หลวงเสนาภักดีมหาดไทย
ภักดีกับภักดิ์คำเดียวกัน แต่ประทัณฑฆาฏลงอย่าสงไสย
อ่านแต่ภักดิเปนการันต์ไป เช่นคำใช้สวามิภักดิ์ประจักษความ
อิกภักที่มีษอทัณฑฆาฎ คำนักปราชชักมาใช้ในสยาม
จะแปลว่าอาหารก็สมความ นิยมตามคำไทยใช้ว่ากิน
เหมือนคำเชิญภักษ์ภุญช์ภักษาหาร พระยามารจับเปนภักษ์เสียหมดสิ้น
อันคำภักยักย้ายหลายระบิล ให้รู้ถิ่นที่จะใช้อย่าไขว้กัน
หนึ่งจะช่วยชี้ให้ประจักษ ยังอิกพรรคสกดคอมีรอหัน
แปลว่าพวกแลว่าหมู่ดูสำคัญ ไว้ประกันแก้เขลาที่เง่างม
(๔๗) หนึ่งสองคำชิดชิดคิดให้ชอบ จงประกอบที่จะใช้นั้นให้สม
ชิดตัวนี้ใช้ที่ว่าชิดชม
ระรื่นรมย์แนบชิดสนิทนาง
อิกนายชิดหุ้มแพรนายเวนสิทธิ์ คนที่ใกล้ใช้ชิดสนิทนาง
นาสาเสยเสียดสนิทชิดกับปราง ชิดนี้ทางนี้ใช้คำไทยตรง
ชิดสกดตัวตอพอสังเกต ในต้นเหตุคำบาลีที่ประสงค์
คือพระยาไชยวิชิตคิดจำนง คำนับองค์สมเดจพิชิตมาร
อนุชิตชาญไชยไม่ประจักษ์ จึ่งถามซักขุนพิชิตชลหาญ
อ้างไปถึงพระวิชิตชลธาร สังเกตการณ์คำว่าชิตสะกดตอ
(๔๘) ชานกับชาญฌานมีที่กำหนด ทั้งสามคำจำจดให้แน่นหนอ
ภาษาไทยใช้ชานสกดนอ เหมือนหนึ่งข้อคำบอกว่านอกขาน
กับคำพูดชานอ้อยอิกชานหมาก นี่มีมากคำไทยพูดไชยชาน
ที่สกดญอใหญ่ใช้ว่าชาญ ท่านแผลงว่าชำนาญพานจะชุม
แปลว่ารู้แยบคายเปนหลายหลาก ได้รู้มากเชี่ยวชาญการสุขุม
คือเจนจัดการทำไม่คลำคลุม ได้ชุมนุมชัดชาญชำนาญเคย
ฌานตัวฌอนอสกดกำหนดแน่ นี่มาแต่คำมคธบทเฉลย
แปลว่าเครื่องเผากิเลศสัลเลขเลย ท่านเพิกเฉยเบจญกามให้ทรามเซา
ของสำหรับโยคีฤาษีพรต
พระสุคตกับทั้งพระอริยเจ้า
ตัดกิเลศสมุจเฉทแลบางเบา แล้วท่านเข้าฌานสำราญรมย์
(๔๙)
ทั้งสองคำพานอิกภารไซร้ เห็นเขียนไม่ถูกที่ก็มีถม
พานสกดนอไทยใช้นิยม คนคารมมักจะระพูดพะพาน
เครื่องตะถมทองดีก็มีมาก
อิกพานนากพานทองสองสฐาน
ทั้งพานเงินพานทองเหลืองเครื่องตระการ, เรียกว่าพานผ่าไทยใช้กันมา
พาลตัวพอลอสกดมคธพากย์
แปลไม่ยากเพราะว่าไทยก็ใช้หนา
คือคนก่อทุจริตจิตรวาจา อิกกายาครบสามตามทวาร
มิได้คิดบุญบาปใจอยาบกล้า
ท่านเรียกว่าพาละโดยโวหาร
ที่ไทยพูดเกลื่อนกล่นว่าคนพาล สังเกตการลอสกดบทยุบล
กับอิกภารภอมอรอสกด นิ่มคธคำขานสารนุสนธิ์
ใช้ว่าโพธิ์สมภารพระจุมพล กับคำภาระกังวลแลหาบคอน
ภาณภอมอณอใหญ่ใส่สกด เหมือนอย่างบทปฏิภาณในสารสอน
ว่าปัญญาสำหรับโต้ตอบสุนทร แลพากย์พจน์บทกลอนชำนาญชาญ
หนึ่งพอนอมีตอการันต์ท้าย จะขยายพอได้จำที่คำขาน
มีที่ใช้แต่ว่าป่าหิมพานต์
คือถิ่นถานพร่ำพร่างน้ำค้างชุม
หนึ่งคำพระบาฬีแถลง
ท่านแสดงว่านิพพานอ่านกันกลุ้ม
กับแผลงว่านฤพานจะคลุม ธรรมสุขุมข้ามโอฆโลกอุดร
แลคำว่าจักระพาฬนั้นฬอใหญ่ สะกดใส่วางประจำในคำสอน
เหมือนเจ้าจอมจักระพาฬประทานพร เสด็จจรไปจนจบจักระพาฬ
พานทั้งหกยกข้อไขแถลง ล้วนแจ้งแจงชี้สำคัญเช่นบรรหาร
ได้เค้าเงื่อนแล้วอย่างทำซมซาน เขียนตัวพานจิ้มตำถลำแดง
(๕๐) ฝ่ายกับใฝ่นี้ก็ใช้อย่าให้คลาด เทียรฆราษสั้นยาวกล่าวแถลง
เหมือนฝ่ายหน้าฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือในก็ไม่แคลง ฝ่ายเราแย้งฝ่ายข้างเขาจะเอาจริง
ทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือเหลือจะหัก ด้วยนายฟักเขาเปนฝ่ายนายหญิง
ไปฝักฝ่ายคุณพระนายจะหมายอิง เอาเปนที่พึ่งพิงพอพ้นไภย
คำว่าฝ่ายอธิบายว่าพวกเหล่า เช่นคำเค้าฝักฝ่ายขยายไข
กับคำต้นที่จะเอ่ยเรื่องอื่นไป ท่านก็ใช้คำว่าฝ่ายพิปรายความ
ซึ่งเสียงใช้ใฝ่ใฝ่นี้คำสั้น เหมือนใฝ่ฝันใฝ่ในฤทัยหวาม
อิกใฝ่ใจที่จะใคร่พยายาม อันคำใฝ่ฝันใช้ตามบุราณกาล
แปลว่ามุ่งหมายมั่นคิดพันผูก นิ่จะถูกความเก่าที่เล่าขาน
ฤาจะผิดเปนแต่คิดโดยประมาณ จงวิจารณ์คำว่าใฝ่ที่ใช้กัน
(๕๑) พายกับภายจะขยายให้จะแจ้ง มิใช่แกล้งว่าเล่นพอเห็นขัน
ด้วยตัวต่างความก็ต่างเห็นห่างกัน ชี้สำคัญเช่นฝีพายลงพายเรือ
เย็นพระพายชายพัดมาเฉื่อยเฉื่อย ก็หลับเรื่อยไปจนสายสบายเหลือ
คำพระพายนี้เป็นบทมคธเจือ ควรจะเชื่อว่าเนื่องมาแต่วาโย
อิกคำว่าทุกพายทุกพวกพรรค ได้ประจักษ์คำไทยใช้อะโข
แปลว่าหมู่ดูข้างเห็นจะเปนโว หารแต่โบราณเรียกสำเหนียกตาม
ภายตัวนี้ใช้ว่าที่ว่าโอกาศ คำนักปราชท่านบัญญัติในสยาม
เหมือนภายในกายนอกบอกเนื้อความ ตึกนี้งามภายใต้ก็ใหญ่ครัน
ทำกุศลขวยขวายไปภายน่า เขาจะว่าภายหลังก็ชั่งฉัน
อันตัวภายคำไทยที่ใช้กัน บอกสำคัญคือชี้ที่กับกาล
(๕๒)
ไข่กับข่ายคล้ายเสียงสำเนียงออก ฉันจะบอกบ่อนใช้ในสฐาน
มีมากหลายข่ายบรอิกข่ายมาร ตาข่ายชิ่งชลธารที่ดักปลา
ข่ายคือปรีชาญาณพานจะซึ้ง ตาข่ายขิ่งตลบนกในเวหา
ซึ่งตาข่ายรายกั้นอะรัญญะวา เข้าล้อมดักมฤคาที่ป่าพง
ซึ่งว่าข่ายคำยาวกล่าวเช่นนี้ สังเกตที่ควรใช้อย่าไหลหลง
ยังอิกไข่คำสั้นนั้นจำนง เฃียนให้คงคำว่าไข่ใช้ว่าฟอง
เหมือนเขาว่าเป็ดไข่แม่ไก่ฟัก กามันรักไข่กระเหว่าเปนเจ้าของ
เรียกว่าไข่อยาบย้ำคำคะนอง จึงยักเรียกเสียว่าฟองเปนคำดี
(๕๓) อนึ่งคำล่าหล้าภาษาสยาม ที่ใช้ความว่าเอกนั้นล่าหนี
หล้าโทใช้ว่าโลกย์ทั่วธาตรี คำอ้างมีแหล่งหล้าในสากล
พระเลิศหล้าเดชาขจรจบ ในพื้นภพ ใต้หล้ามหาผล
ชักเทียบเคียงภอเปนเยี่ยงเปนอย่างยล ตามยุบลล่าหล้าภาษาไทย
(๕๔) หนึ่งเนิ่นนานกับชำนาญนี้นอเล็ก นักเรียนเด็กจงวิจารณ์จะชานไชย
ว่าเนิ่นนานนอสอกดบทไทยไทย ตัวญอใหญ่นั้นสกดบทชำนาญ
ตัวบาฬีในคัมภีร์มะคะธะ คือชัญญะคำต้นยุบลขาน
ตกมาเปนคำไทยใช้ว่าชาญ ซ้ำแผลงว่าชำนาญการทั้งมวน
(๕๕) อีกสองคำององค์จงสังเกต ให้ต้องเหตุที่ใช้ต้องใต่สวน
องเปล่าเปล่าเขียนในเค้าว่าองยวน องเด้ก๊วนเต้กุ๊นเขาขุ่นเคือง
ครั้งนั้นองไก่เสิ่นทำเลินเล่อ องจิ๋เถ่อทำไถลไม่ได้เรื่อง
หลวงยวนใหญ่ใช้ว่าองสิ้นทั้งเมือง นี่ว่าเรื่องคำองไม่มีคอ
องค์ตัวคอการันต์ท่านสรรใช้ เปนคำไทยเจือมคธบทนี้หนอ
คืออังคะคำเดิมจึงเติมคอ ไว้เปนพอที่สังเกตต้นเหตุคำ
องค์นี้ท่านแปลว่าคุณสุนทะระ กับแปลว่าอะวะยะวะก็ควรสำ
เหนียกไว้เปนแบบแผนจงแม่นยำ แปลอิกคำหนึ่งว่าเหตุสังเกตความ
(๕๖) ลำดับนี้ฉันจะชี้ข้อขยาย คือระใบกับระบายคำสยาม
เด็กเด็กดูรู้ไนยจงใช้ความ เพดานงามมีระใบละไมดี
พระกลดใหญ่มีระใบถึงสามชั้น สำหรับกั้นกันองค์พระทรงศรี
พระเสวตรฉัตรไชยระใบมี สุวรรณขลิบดิบดีดิ่นพปดล
ระใบผ้ามุ้งระใบม่าน
คำนี้ท่านใช้ระใบทุกแห่งหน
กำหนดแน่ใช้แม่กกายล อย่าให้ปนคำยาวกล่าวว่าบาย
อิกคำนี้ฉันจะชี้ให้รู้อัตถ์ สำเนียงชัดคำยาวกล่าวขยาย
เหมือนพวกช่างเขียนวาดฉลาดลาย เขียนระบายสีประสาชำนาญเคย
ระบายดีสีเมฆทั้งมอม่วง ดอกไม้ร่วงรายดอกอยู่เฉยเฉย
นี่ควรใช้คำระบายพิปรายเปรย ใช้แม่เกยคำยาวกล่าวประจำ
บายกับใบก็ต้องใช้ชนิดนี้ คือบายศรีใบไม้อย่าให้ถลำ
บายว่าเข้าเชิญขวัญเปนศิริ ล้วนลัทธิใช้คำเร่งจำจด
เขมรไทยใช้ระคนปนมคธ จงกำหนดเปนแผนกแยกวิจารณ์
(๕๙) คำประชวนชักชวนควรถวิล จงรู้ถิ่นที่จะใช้ให้วิตถาร
ว่าชักชวนนอสกดบทบุราณ เปนคำไทยใช้มานานแต่กาลเพรง
คำประชวรควรเขียนรอสกด เปนมคธคำเพราะเหนเหมาะเหมง
ราชาศับท์สูงคำควรยำเกรง อย่าเชลงพูดเล่นชล่าใจ
คือเจ้านายทรงประชวรควรกำหนด ว่าตามบทที่ประชวรพระโรคไว้
คือประชวรเปนพระโรคสิ่งใดใด
ก็หยิบใช้เปลี่ยนความตามประชวร
(๕๘) ม่านกับมั่นสั้นยาวกล่าวแถลง อย่าเคลือบแคลงม่านมั่นให้หันหวน
เหมือนขิ่งม่านผูกให้มั่นนั้นก็ควร ที่บนจวนมีม่านเพดานดาว
(๕๙) หนึ่งคำที่ตัวหอเข้าต่อท้าย มีอยู่หลายคำควรใต่สวนสาว
ให้รู้แยบยนต์เยื้องในเรื่องราว ที่ท่านกล่าวว่าตัวหอส่อสำเนียง
ถึงไม่มีไม้เอกจะเศกใส่ ตัวหอใช้แทนเอกให้ออกเสียง
เช่นเสนหท้าววิเทหพยูหเรียง คิดเทียบเคียงรู้เลหเภทุบาย
เชิญพระตราครุฑพาหมาประทับ อย่ามัวหลับเมาโมหโลหจะหาย
พระยาศรีสุริยพาหว่าเปนนาย ที่น่าราหุทำเปนลายกระหนกแปลง
เราเดินมาปะมาหมันหลอนหลอก มันวิ่งออกไล่ตะครุบเราฟุบแฝง
ที่เสาธงนั้นพระทรงดำริแปลง อุส่าห์แจงแจกกลั่นสันเปนกลอน
คำตัวหอการันต์สรรเปนเอก มือเนกนับประมาณในสาสอน
ชักมาว่าพอเปนอย่างทางสุนทร ฟังแต่กลอนเล่นเปล่าเปล่าไม่เข้าการ
จงหมั่นจำกำหนดในบทแบบ แล้วหยิบแยบอย่างใช้ให้วิตถาร
อุส่าห์เขียนเพียรทำให้ชำนาญ ปรีชาญาณคงจะเปรื่องให้เฟื่องฟู
(๖๐) ที่นี้จะแก้ไขในคำนบ ไม่รู้จบดอกตำเถิดพ่อหนู
ขอเสียเถิดอย่าว่าพล่ำพูดพร่ำพรู ฉันเอนดูดอกจิ่งเพ้อเร่อรำพัน
ซึ่งว่านบตัวนอบอสกด นี้เปนบทแบบไทยใช้ขยัน
เหมือนคำว่าฃ้านบอภิวันท์ เครื่องต้นนั้นมีพระนบครบจำนวน
นพคำนี้บาฬีมีกำหนด แปลในบทเก้าฤาใหม่ต้องใต่สวน
เช่นใช้ว่านพเคราะห์จำเภาะควร คือประมวนเทพเจ้าทั้งเก้าองค์
พระอาทิตยทั้งพระจันทรอังคารพุฒ พระเสารศุกรบริสุทธินับประสงค์
พระราหูเกตุพฤหัสจัดจำนง นพเคราะห์เก้าองค์คงประจำ
อีกคำว่านพมาศนพรัตน ความก็ชัดเหนไม่สู้สุขุมขำ
นพมาศนี้เปนชื่อของทองคำ ทองเนื้อเก้าเก้าน้ำนพคุณ
นพรัตนคำนี้ก็มีเค้า คือแก้วเก้าล้ำเลิศประเสริฐสุน
ทรมากหลากหลายประลาดชาติสกุล ล้วนนับคุณนับค่าสารพัน
คือเพชรนิลแลทับทิมมรกฎ บุศยน้ำทองสีสดก็จัดสรร
อีกไพฑูริยเพทายละม้ายกัน โคเมนขั้นอิกมุกดาอาภาพราย
นี่แลเรียกนพรัตนราคาแสน เขาทำแหวนนพเก้าไม่ร้าวถลาย
เปนของท่านมีทรัพย์นับกระทาย ไว้สำหรับแต่งกายการมงคล
นพศกนี้ว่าศกที่ครบเก้า คำนี้คงลงเค้าทุกแห่งหน
กับอิกคำหนึ่งว่านพปดล แปลว่ายุบลเก้าชั้นสรรวาจา
เหมือนหนึ่งนพปฎลเสวตรฉัตร คำท่านจัดไว้ก็มีเช่นนี้หนา
หนึ่งนพแปลว่าใหม่ก็ใช้มา ประหนึ่งนพนัคราบุรีรมย์
แลคำนภภอมอต่อสกด ในบาทบทพระบาฬีก็มีถม
เช่นสวรรค์ชั้นนภดลชม คนนิยมฟากฟ้านภาไลย
นภดลแดนฟ้าสุรารักษ์ ไม่ประจักษเคืองเข็ญว่าเปนไฉน
สมเดจพระเลิศหล้านภาไลย นี่คำใช้นบนภจบกระบวน
(๖๓) หนึ่งยานญาณยอเล็กกับญอใหญ่ จำกัดใช้ตามที่จงถี่ถ้วน
ทั้งคำไทยคำมคธบทที่ควร จะประมวนแบบใช้ไว้ให้ดู
ตัวยานยอนอเล็กสะกดนั้น คำท่านสรรในสยามออกแส้หู
ซึ่งเส้นเชือกยานหย่อยผ่อนให้ดู สายตราชูยาวยานพานจะเอียง
กับคำไทยว่าอะไรมันกลิ้งอก จะหยิบยกว่าให้ชัดก็ขัดเสียง
อิเป้าป่ายยานนักชักขึ้นเรียง นี่สำเนียงคำไทยใช้ว่าบาน
อีกคำหนึ่งยานยอนอสกด แต่เปนบทในบาฬีชี้บรรหาร
พาหนะเครื่องของไทยที่ใช้การ ยานุมาศราชยานเสลียงวอ
อีกสัตวใช้ช้างม้านาวารถ
รองบาทบทว่ากำหนดโดยย่อย่อ
ที่เป็นเครื่องมาไปใช้เพียงพอ
สกดนอเหมือนคำไทยที่ใช้ชุม
อิกญอใหญ่ใส่ณอใหญ่สะกด คำมคธใช้ว่าญาณพานสุขุม
ท่านแปลว่าปัญญาไม่เคลือบคลุม ซักวิภาคที่ใช้ว่าปรีชาญาณ
คำมคธบาฬีนั้นมีมาก ชักวิภาคที่ใช้จะไขขาน
เหมือนหนึ่งว่าปองประโยชนโพธิญาณ กรรมฐานทางภาวนาไมย
วิปัสสะนาญาณสิบท่านหยิบหยก บทสาธกทศพละญาณไฃ
ถึงอัตถ์แปลจะไม่ออกก็บอกไว้ แต่ภอรู้ที่ใช้คำญาณยล
(๖๒) รายกับไรถ้าจะใช้ให้ถูกบท ที่กำหนดจงวิจารณ์สารนุสนธิ์
ดังเริ่ยรายคำยาวกล่าวยุบล
ที่รายคนเขาจะสักหักบาญชี
เลขสมัคสักกี่รายจ่ายให้หมด แล้วจดจำรายจำนวนให้ถ้วนถี่
ความในเมืองสักกี่เรื่องกี่รายมี คำเหล่านี้ใช้รายกระจายคำ
คนที่มีไรผมชมว่าเหมาะ นิ่จำเกาะเขียนว่าไรอย่าให้ถลำ
เนื้ออุไรเรืองรองนิ่ทองคำ คนที่ผิดไปจันไรกิน
นักเลงอุเอียงใหเมไรยริน คิดยุพินแม่ดำเนินเดินไรไร
นี่บอกใช้คำว่าไรไม่รู้สุด กุลบุตรเฃียนคำอย่าทำไถล
อย่าให้กลายควรจะง่ายไรก็ไร ทำเขวไขว้ใช้คลาสปราชตำเนียน
(๖๓) หนึ่งแม่กดบทที่ใส่ไม่ไต่คู้ จงเร่งรู้แล้ววิจารณ์จะอ่านเฃียน
คือว่าเสร็จแลสำเร็จเผด็จเรียน อิกคำเมียนว่าสมเด็จเสด็จจร
เหาะระเห็จตามเขบ็จขบวนฤทธิ์ อันพูดเท็จทุจริตไม่ต้องสอน
เหล่านี้ล้วนคำสั้นกระชั้นกลอน เปนนิกรพจน์เบาราณบรรหารคำ
เหาะระเห็จเสร็จเท็จนี้คำสยาม กระแสความก็ไม่ฦกสุขุมขำ
กับที่ว่าเขบ็จแลเสร็จสองคำนั้น เปนคำสรรแต่กัมพุชภาษา
ตกเปนของคนไทยใช้เจรจา ท่านแปลว่าผู้จบผู้เสร็จการ
เผด็จนี้แปลว่าตัดว่าคัดแก้ จงรู้แน่หนักแน่นเปนแก่นสาร
พระเผด็จสงครามนามบุราณ นามขนานป้อมเผด็จดัษกร
เผด็จเสี้ยนส่ายเศิกเลิกไปสิ้น ข้อรบิลบอกยุบกลอักษร
จงหมั่นนึกตรึกตราให้ถาวร อย่าฟังเล่นอักษรกลอนประพันธ์ (๖๔)
จำพวกหนึ่งแม่กนประดนสอน ไม่มีอออ่านว่ากรก็เหนขัน
แล้วซ้ำเขียนณอใหญ่ใส่การันต์ ก็ใช้กันมาเป็นแบบดูแยบคาย
อลงกรณ์แปลว่าเครื่องประดับ อิกคำสับดปกรณ์ผ่อนขยาย
แปลว่าเจ็ดพระคำภีรโดยพิปราย ยังอีกรายหนึ่งนั้นว่ามหาปกรณ์
นี้แปลว่าพระตำราคัมภีรใหญ่ พยากรณ์ว่าทำนายธิบายสอน
คำที่ใช้ในสยามความอุทธรณ์ ว่าเลิกถอนตระลาการในศาลเดิม
ปฏิสังขรณ์คำจำไว้หนา เขาแปลว่าซ่อมแซมแลแถมเสริม
ของชำรุดรั่วราทำแปลงเดิม ปะฏิสังขรณ์เพิ่มภิยโยยาว
ปัจฐรณ์บรรจฐรณ์นี้เครื่องลาด คือฟูกเมาะเสื่อสาดสะอาดขาว
ทั้งพรมเจียมผ้าปูดูเพริศพราว เหมือนคำกล่าวว่าบรรจ์ฐรณ์ที่นอนนา
อิกอาภรณ์แปลว่าเครื่องประดับ ที่สำหรับแต่งกายมีหลายอย่าง
คำนิวรณ์อาวรณ์ว่ากั้นกลาง กั้นหนทางที่เปนบุญให้ขุ่นมัว
อิกม้วยมรณ์นั้นว่าตายวายชีวิตร ถ้าใครคิดถึงอยู่บ้างจะยังชั่ว
ภอกำจัดความเมาให้เบาตัว ที่คิดกลัวความตายค่อยคลายเบา
อุทาหรณ์นั้นท่านแปลว่าแบบอย่าง เปนที่อ้างออกใช้ทั้งใหม่เก่า
คือคำชี้ตัวอย่างทางสำเนา ที่ควรเล่าจดจำเปนตำรา
กรรมกรกรรมกรณ์ผ่อนเปนสอง โดยทำนองในมคธภาษา
กรรมกรตัวนี้ชี้วาจา คือใช้ว่าค่าทาสกรรมกร
แปลว่าคนทำการบรรหารเหตุ แนะนิเทศทางคำจงจำสอน
มิใช่พวกการันต์ปันนิกร จงรู้ผ่อนใช้ให้ต้องทำนองความ
กรรมกรมีณอการันต์ท้าย อธิบายบอกพร้องไม่ต้องถาม
เครื่องสำหรับทำโทษคนเลวทราม ซึ่งทำความทุจริตผิดคะดี
คือโซ่ตรวนขื่อคาเปนอาทิ ท่านศิริรวมจำนวนไว้ถ้วนถี่
สามสิบสองกรรมกรณ์แต่ก่อนมี แต่เดี๋ยวนี้ใช้แยกแปลกแปลกไป
(๖๕) หนึ่งอาจหาญห้าวหาญแลทวยหาญ นี่อาจาริย์ท่านบังคับตัวญอใหญ่
อย่างบัญญัติสืบกันมาภาษาไทย เดิมอย่างไรจึ่งเปนบทสกดญ
เรื่องนี้ก็หาชัดถนัดไม่ เห็นแต่ใช้ตามกันเท่านั้นหนอ
ห้าวหาญนั้นว่ากล้าไม่รารอ อาจหาญกล้าพอจะรั้งรา
ทวยหาญขานความไว้ตามเหตุ โดยสังเกตกันที่รู้ว่าหมู่กล้า
จงเรียนรู้ดูให้ทั่วทุกวาจา จึ่งนับว่าเปนบัณฑิตย์ศิศยมีครู
(๖๖) หารสะกดตัวรอพอกำหนด เปนมคธสิบเอ็ดคำจำให้อยู่
คืออาหารบริหารวิจารณ์ดู ทหารคู่กับสังหารประหารตี
สมาหารโวหารสังหารเหตุ ในประเภทอะวะหารมีอยู่สี่
อภินิหารคูณหารชำนาญดี คำเหล่านี้รอสกดบทประจำ
ซึ่งศับทว่าอาหารพานจะติ้น ด้วยเปนพิ้นพูดกันอยู่ทุกเช้าค่ำ
กินอาหารเข้าปลากระยากำ ถึงถ้อยคำอย่างผู้ดีก็มีมา
เชิญรัปทานอาหารสำราญเถิด ภักษาหารจะให้เกิดกำลังกล้า
ธัญญาหารเหนตระการในท้องนา ทั้งถั่วงาดาดไปในไร่ราย
บริหารว่าจำเลยเฉลยแก้ หนึ่งท่านแปลว่ารักษาว่าขยาย
คือควบคุมปกป้องต้องธิบาย เหมือนคำกายบริหารพานจะชุม
คำทหารก็เปนคำมะคะธะ ทะหะระที่ท่านแปลว่าคนหนุ่ม
สำเนียงไทยใช้ยาวกว่าเคลือบคลุม เรียกกันกลุ้มว่าทหารนมนานมา
ศับทสังหารแปลคำว่านำพร้อม แต่พูดน้อมข้างไทยใช้ว่าฆ่า
ดังคำพูดสังหารผลาญชีวา ก็คือว่านำชีวิตรให้ปลิดปลง
ประหารว่าตีกันแลฟันฟาด คำนักปราชแปลไว้อย่าใหลหลง
พากยมคธมาเปนไทยใช้ให้คง อย่าเงอะงงแวะเวียนทำเปลี่ยนแปลง
โวหารว่าคำพูดฤาคำเรียก จงสำเหนียกยลแยบที่แอบแฝง
ทุกวันใช้โวหารพานเคลือบแคลง เหนระแวงไปข้างกล้าวาจาดี
เช่นคำว่านายปานโวหารมาก ทั้งฝีปากฉาดฉานไม่อู้อี้
คนที่กลั่นแกล้วกล้าเชิงพาที ชมว่ามีโวหารการเจรจา
สมาหารแปลว่านำมาพร้อม ถ้าจะน้อมในสยามภาษา
ตกในความว่าประมวลชักนำมา ดังชื่อช้างนางพระยาวิมลรัตน
นั้นมีบารมิตาสมาหาร สิโลกสารแยบแฝงท่านแจงจัด
พระบาฬีชักมาว่าให้ชัด ก็สมอัตถ์สมความไม่ลามเลย
อนึ่งนั้นจงวิจารณ์บรรหารศับท ก็คล้ายกับบริหารท่านเฉลย
แปลว่ากล่าวคำขยายพิปรายเปรย คำนี้เคยคนไทยใช้มานาน
เหมือนหนึ่งว่าศุภสารบรรหารเหตุ คำพิเสศใช้ว่าราชบรรหาร
เปนคู่กันกับที่ว่าบัญชาการ แต่บุราณมักจะใช้ใส่ตัวญอ
อะวะหารนั้นว่านำอย่างต่ำแท้ ข้างไทยแปลความประจักษ์ว่าลักฉ้อ
เปนคำใช้ในมคธสกดรอ ไม่ติดต่อกับสยามความไม่มี
คำว่าอะภินิหารพานจะซึ้ง แปลให้ถึงความในอักษรศรี
ว่านำออกโดยฉเภาะเหมาะวาที ก็คือบุญบารมีที่นิยม
ดังคำว่ากฤดาภินิหาร แปลว่าท่านมีบุญได้สร้างสม
ไว้แต่เบื้องบุรพท่านอบรม จึงอุดมไปด้วยยศศฤงฆาร
ยังอิกคำที่สิบเอ็จจะเสร็จสิ้น โดยรบิลบอกคำว่าคูณหาร
แปลว่าแบ่งนำลงจงวิจารณ์ คือเลขหารแบ่งชักหักเลขบน
ในคำนี้บางทีอาจาริย์ท่านขานบท ใช้สกดตัวนอข้อนุสนธิ์
ว่าเสื่อมถอยหย่อนยอบก็ชอบกล สองยุบลจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
อิกคำหนึ่งปะหานแปลว่าละ มิใคร่จะมีใช้ในสยาม
มักมีในเทศนาท่านว่าตาม บทในคามภีระอัตถ์ชัดวาจา
ตัดเกลศสมุทเฉทปะหาน ท่านไขขานคำมีเช่นนี้หนา
พวกทายกอุบาสกอุบาสิกา ที่ฟังมาแต่เก่าเก่าคงเข้าใจ
หานสิบห้าคงคำจำให้แน่ ทั้งคำแปลอธิบายขยายไข
เมื่อจะเฃียนควรขานหานอะไร จงเลือกใช้แต่ที่ชอบประกอบคำ
(๖๗) หนึ่งพิธีคำนี้นี่ถูกแล้ว อย่ายักใช้ให้มันแคล้วไถลถลำ
บางคนเขียนทอเพิ่มเติมประจำ จัดเปนคำเขียนผิดว่าพิทธี
เพราะผิดจากคำเดิมเติมสกด ในมคธเขียนคำวิธีนี่
ท่านแปลงวะไปเปนพะสระอี จึงเขียนใช้ว่าพิธีเช่นนี้คง
ต้องที่ใช้ในสยามความหลากหลาย โดยวิภาคพิธีพราหมณ์พิธีสงฆ์
ทุกพระราชพิธีที่จำนง โปรดให้คงไว้ประจำฉนำเดือน
(๖๘)
หนึ่งสำรับกับอีกคำว่าสำหรับ อย่าจะจับเสียงประหลาดอย่าคลาศเคลื่อน
ยกสำรับกับเข้าขึ้นเย่าเรือน ให้นายเผื่อนอยู่สำหรับช่วยรับการ
บางทีเขียนสำหรับเปรสำรับ หอไม่นำกำกับเคียงขนาน
ยากจะรู้ต้นเหตุสังเกตการ ผู้จะอ่านไม่ทันคิดก็ผิดความ
(๖๙) บวชผนวชตรวจดูก็รู้หมด เปนมคธดอกมิใช่คำสยาม
ท่านแปลว่าละเว้นเบญจกาม จึงใช้ตามคำมคธสกดชอ
บวชมิหนำซ้ำแผลงผนวชเล่า คือท่านเอาตัวปอเปนตัวผอ
เพื่อจะใช้สูงต่ำคำลออ เหมือนพระหน่อท่านไปทรงผนวชนาน
ตระกูลต่ำใช้แต่คำเพียงว่าบวช ชั้นเจ้านายทรงผนวชใช้คำขาน
เปนชั้นสูงชั้นต่ำจำพิจารณ์ เรียกให้ต้องตามการอย่าก้าวเกิน
(๗๐) อิกบพิตรบพิธคิดให้แน่ ดังแบบแก้ไว้เปนอย่างอย่าห่างเหิน
บพิตรว่าเครื่องยินดีเปนที่เพลิน ล้วนเปนสิ่งที่เจริญปลิ้มกระมล
บรมนารถบพิตรมหิศร ในคำกลอนกล่าวแจ้งทุกแห่งหน
ตำแหน่งใหญ่ใช้นามเปนมงคล ไม่ใคร่พ้นคำบพิตรติดทุกนาม
ซึ่งใช้คำบพิธธอสกด พากย์มคธท่านมาใช้ในสยาม
แปลว่าแต่งสร้างสมนิยมตาม ขนานนามวัดราชบพิธ
ความว่าวัดจอมกระษัตรได้ทรงสร้าง นี่ตัวอย่างชี้เช่นเหนสนิท
คำที่แจงแจกถ้วนนี่ควรคิด เขียนบพิธอย่าให้ผิดพินิจความ
(๗๑) หนึ่งมิ่งขวัญหมอควาญบรรหารเหตุ แนะนิเทศอย่างบัญญัติในสยาม
เก่าสกดญอใหญ่ต้องใช้ตาม เหลือจะค้นต้นความแต่เดิมมา
จะสมโภชเชิญขวัญเสวตสาร ทั้งหมอความให้ชุ•นุ•กันพร้อมหน้า
นี่ตัวอย่างขวัญควาญฃานวาจา เขียนกันมาญอสกดบทนิกร
(๗๒) อิกสองคำครุธอาวุธนี้ ในบาฬีเฃียนเคียงเรียงอักษร
ครุโธอาวุโธกับโตมร มิได้ซ้อนตัวสกดบทยุบล
เสมียนไทยมักจะใช้เฃียนสกด เปนอาวุทธครุทธหมดทุกแห่งหน
เอาตัวทอต่อเติมเสริมประดน เหนจะล้นเหลิงเลยด้วยเคยมือ
จะกลับกล่าวสกุณาพระยาครุฑ ฤทธิรุตม์ฤาเลิศตลอดอื้อ
พวกโยธาอาวุธมีครบมือ ล้วนดุดื้อเด็จหาญข้างราญรอน
ขอเสียเถิดอย่านินทาว่าจู้จี้ กับเท่านี้ก็ยังว่าเอามาสอน
เหนเขาเขียนผิดผิดคิดอาวรณ์ จึงทำกลอนสอนไว้เผื่อที่เชื่อกัน
ที่ไม่เชื่อฉันก็เหลือจะตรองตริ ถึงจะตริก็ต้องงดสู้อดกลั้น
ยอมให้ติยอมให้ว่าสารพัน ด้วยสำคัญคิดจะให้ไว้เปนตุณ
(๗๓) อิกวาทีว่าคัมภีร์แลกัมพุช กุลบุตรแปลงเปลี่ยนเฃียนออกวุ่น
จะวางแบบแยบย่อพอเปนทุน แก่ฝูงกุลบุตรเรียนเร่งเพียรจำ
คัมภีร์นี้คำมคธบทอธึก แปลว่าฦกล้วนเปนของสุขุมขำ
ที่ครูสอนสิศย์เรียนจำเนียนนำ เช่นพระธรรมไตรยปิฎกยกเปนเดิม
เขียนคัมภีร์นั้นต้องมีการันต์ท้าย โดยธิบายตัวรอเข้าต่อเสริม
ยังแบบใช้ในกกาเข้ามาเติม เขียนก็คล้ายคำเดิมว่าคัมภีร์
เมืองกำพุชแปลว่าเมืองเขมร ใช้กันเจนอยู่ก็เฃียนตัวพอพี่
แลสะกดตัวชอต่อลิปี ตามวิธีแต่บุราณมานานครัน
กับที่ใช้ในแม่กกาล้วน คำก็ควรกำพุชไม่ผิดผัน
กำกับกัมแม่กมนิยมกัน ตัวสำคัญอย่าให้เพี้ยนเปลี่ยนเปนภอ
ที่คำยาวนั้นต้องกล่าวว่ากำโพช อุชเป็นโอชผิดกันเท่านั้นหนอ
กัมโพชาธิบดีไม่มีรอ ออกต้านต่อกันแดนกำพูชา
(๗๔) คำที่ว่าปราโมชนั้นเปนสอง ตามทำนองในมคธภาษา
คือปราโมชปราโมทยสองวาจา ใช้กันมาสองอย่างแต่ปาบรรพ์
คำที่สองต้องเอาชะเปนทะยะ โดยวิธีสะกะฏะท่านจัดสรร
คำนี้แปลว่าบันเทิงรื่นเริงครัน ชี้สำคัญตัวอย่างท่างนิทัศน์
ทรงสดับสาราให้ปราโมช ด้วยยามโปรดปรีเปรมเกษมสวัสดิ์
อันบันเทิงนี้เปนความโสมนัศ คำปราโมชมีอธิบายตรง
(๗๕) หนึ่งสังเวดสังเวชสังเกตพจน์ แล้วกำหนดนึกไว้อย่าใหลหลง
สองสกดสองคำจำให้คง โดยจำนงคำหนึ่งสกดดอ
คำหนึ่งชอสกดกำหนดไว้ นี่ใช้ได้เหมือนกันอย่าพรั่นหนอ
แปลว่าความสลดในน้ำใจคอ อุทาหรณ์สอนส่อต่อข้อนิพนธ์
คิดคิดถึงทรงเดชสังเวชนัก มาร้างรักแรมไกลอยู่ไพรสณฑ์
สร้างสัสเลขเกิดสังเวดในกมล ได้ลุดลแดนศุขศิวาไลย
แต่ทุกวันพูดกันว่าสมเพช ก็อ้างเหตุคำนั้นออกขานไข
ภาษาชักให้ประจักษ์เปนคำไทย จึงพูดใช้ว่าสมเพชเวทนา
คือแผลงเอานิคหิตเปนตัวมะ แล้วแปลงวะเปนพะเสียด้วยหนา
เปนสมเพชคนไทยใช้กันมา ลงอัตราแต่บุรำคำบุราณ
ดูสมเพชเวทนาหนักหนานัก เยาวลักษณ์ไร้วงษ์น่าสงสาร
นี้ตัวอย่างชี้เช่นเปนประมาณ จำวิจารณ์ไว้เป็นเครื่องเรืองปัญญา
(๗๖) หนึ่งจะเขียนคำว่าบุญอย่าวุ่นไขว่ คำนี้ใช้อย่างมคธภาษา
ที่คำต้นเรียกกุศลว่าบุญญา ท่านแปลว่าเครื่องชำระสันดานดี
จึงเฃียนใช้ญอใหญ่เปนตัวสกด เช่นแบบบทใช้มากเปนสากษี
ถ้าใช้ตามสังสกฤฏะวิธี แผลงนั้นมีตัวสกดนอกับยอ
เหมือนคำว่าผู้มีบุนย์การุญญาติ ไม่ให้ขาดทางมิตรสักนิดหนอ
คำว่าบุญต้องด้วยบท เปนสองข้อแคะได้ออกให้ฟัง
(๗๗) อนุญาตหมู่ญาติให้รู้แยก จับตัวแปลกเช่นข้างต้นแต่หนหลัง
อนุญาตแปลว่ายอมโดยลำภัง อย่าให้พลั้งตอสกดมคธตรง
บางคนเขียนอนุญาตสกดติ อุตริเคลือบไคล้ด้วยใหลหลง
พาให้คนเฉาเซอะพลอยเงอะงง อย่าจำนงเอาเป็นแบบไม่แยบคาย
อันคำญาติแปลกันว่าพี่น้อง คำนี้ต้องติสกดตามบทหมาย
อย่าไผล้เผลเขวไขว้ให้วุ่นวาย ที่ควรติอย่าให้กลายเปนตอไป
ที่ตัวอย่างอ้างชี้นั้นมีถม เหมือนบรมราชานุญาตให้
เสนามาตย์ซึ่งเปนญาติกับฝ่ายใน โปรดให้ไปสมโภชนัดดาองค์
(๗๘) หนึ่งไมตรีไม้ตรีวาทีสอง จงตฤกตรองใช้ความตามประสงค์
เหมือนไม้ตรีไม้โทที่จำนง นี่คำตรงเฃียนไม้ต้องใส่โท
ที่คำว่าไมตรีตีสนิท สมานมิตรไมตรีดีอักโข
ความเช่นนี้ไม่ต้องใช้ถึงไม้โท ด้วยเปนโวหารใช้ว่าไมตรี
เนื่องมาแต่ภาษามคธพจน์ คือตัวบทเมดติอักษรศรี
แปลว่าคิดที่จะให้กันได้ดี โดยวาทีที่ประจักษ์ว่ารักกัน
(๗๙) ปฏิญญาปฏิญาณบรรหารเหตุ แนะนิเทศทางแยกที่แปลกผัน
ปฏิญญาคำมคธบทสำคัญ นี่ใช้กันมาแต่เดิมไม่เติมญอ
แปลว่าคำทานบนแลนัดหมาย ไม่กลับกลายมิใช่คำพูดลวงฬ่อ
ที่คำตรงในมคธสกดญอ ใช้ต่อจ่อมาก็เปนปฏิญญาณ
(๘๐) หนึ่งเมดตามีตัวดอสกด ว่าตามบทบาฬีที่บรรหาร
ครั้นมาเฃียนคำไทยใช้กันนาน พวกเกียจคร้านชักเหเปนเมตา
ไม่ควรนับเปนตำรับตำราแบบ ให้ถูกแยบอย่างบาฬีไว้ดีกว่า
ด้วยมิใช่คำไทยใช้กันมา อ้างภาษาในมคธเปนบทเดิม
คำเมดตาแปลว่าอารีรัก บางทีชักการุญเข้าหนุนเสริม
เปนสองคำสองข้อเข้าต่อเติม สองคำเพิ่มแปลว่ารักว่าเอนดู
คำที่ใช้ว่าช่างไม่เมดตาบ้าง เสียแรงร่างเรื่องรักประจักษ์หู
ลิขิตขานสารส่ององค์พธู พอได้รู้เรื่องเมดตาของนารี
(๘๑) แก้เมดตาแล้วจะว่าด้วยเมดติ ตามลัทธิทางกลอนอักษรศรี
เมดติท่านแผลงใช้ว่าไมตรี ไม่ต้องมีโทประจำเช่นคำไทย
อันไม้ตรีมีถัดไม้จัตวา นั้นแปลว่าไม้สามสยามไข
แปลกกับคำเมดติแผลงว่าไม จะเฃียนใช้จงประญัติให้ชัดชิน
เหมือนพูดว่าพิสมัยไมตรีมิตร ชักสนิทเปนไมตรีทุกที่ถิ่น
เจริญราชไมตรีถึงองค์กวิน ผู้ครองถิ่นนัคเรศเฃตรลอนดอน
(๘๒) กรุณาณอใหญ่ใช้จงชอบ ตามรบอบแบบบทมคธสอน
อย่าลิขิตให้มันผิดทางสุนทร จงจำกลอนจำแปลให้แน่ใจ
กรุณาแปลว่าเอนดูสัตว ที่ข้องฃัดเคืองเขญเปนวิไสย
คิดจะเปลื้องปลดทุกข์ให้ห่างไกล นี่แลท่านขานไขว่ากรุณา
(๘๓) หนึ่งการุญญอใหญ่ใช้สะกด ก็ถูกบทตามแบบที่ศึกษา
อุกาสะการุญญังกัตวา ในคำขอบรรพชาสามเณร
พวกชาวบ้านมักจะค้านว่าชาววัด คือมักจัดข้างตำราภาษาเถร
อันคำนี้มิใช่แสร้งจะแกล้งเกณฑ์ เคยบวชเณรแทบทุกคนบ่นเอาใคร
กรุณาการุญทุพิธพจน์ จะกำหนดโดยเนื้อความสยามไข
แปลก็อย่างเดียวกันอย่าพรั่นใจ จำให้ได้แต่ที่บทสกดญอ
แม้นทรงพระกรุณาแก่ข้าบาท จะเสร็จราชประสงค์จงทุกข้อ
หากว่าเราการุญอุดหนุนพอ นี่ความส่อกรุณากับการุญ
(๘๔) ปฏิญญาสัญญาปัญญานี้ เฃียนต้องมีญอสองสนองหนุน
ตามมคธบทเดิมท่านเติมจุน จำต้นทุนไว้เปนเครื่องเรืองปัญญา
ปฏิญญาแปลว่าคำนัดหมาย สัญญาคล้ายเช่นกันฉะนั้นหนา
ความรู้ทั่วนิ่เปนตัวว่าปัญญา กับอิกคำปรีชาก็เช่นกัน
นิ่แปลว่ารอบรู้ดูสังเกต ว่าตามเหตุแห่งอักษรท่านผ่อนผัน
ตกมาเปนคำไทยใช้จำนัญจ์ ถึงกระนั้นก็อย่าเขียนให้เพี้ยนตัว
(๘๕)
ต่างกับดั่งนะอย่าพลั้งอย่างแพลงพลาด ถ้าเฃียนคลาศเคลื่อนเค้าเขาจะหัว
จะเฃียนดั่งคำสั้นกระชั้นตัว อย่าไปมัวลากข้างเปนต่างไป
บรรทัดจัดพร้อมเพรียงที่เตียงตั่ง ขอเชิญนั่งให้สำราญจะฃานไข
ธรรมเนียมคนต่างคนคงต่างใจ ปล้องไม้ไผ่ต่างกันด้วยสั้นยาว
(๘๖) หนึ่งคำใช้ทอรอแทนซอนั้น มีสำคัญควรพิเคราะห์ได้เสาะสาว
คือนิทราอินทราจันทราดาว อิกคำกล่าวอินทรีมีไม้ไทร
ทรงทรางทรวงแทรกจำแนกบท โดยกำหนดทรุดทรัพย์ลำดับได้
ทราบอิกโทรมทรามทรายรายกันไป ทอรอใช้ต่างซอข้อคดี
จำนิทราแปลว่าหลับสนิท อินทราคิตฃ้างเปนชื่อท้าวโกสีย์
เช่นใช้มาว่าอินทราธิบดี รัศมีจันทราดาราพราย
คำว่าทรีนี้เปนสองสนองพจน์ คือมคธแลสยามความขยาย
ข้างคำไทยมิได้ใช้ตัวยอปลาย พฤกษารายริมถนนล้วนนนทรี
หนึ่งคำไทยเรียกใช้เปนนามนก คือพิหคอินทรีชื่อปักษี
กับเรียกใช้ชื่อมัจฉาในวารี ปลาอินทรีตัวเล็กเจ๊กประเดิม
อันอินทรีในมคธเปนบทแบบ นั้นมีแยบยอการันต์ท่านสรรเสริม
อนุสนธิ์ต้นข้อจะต่อเติม ไว้ภอเพิ่มอุดหนุนเปนทุนรอน
หมวดอินทรีย์ห้าหกยกออกไข ตามที่ในแบบบทมคธสอน
จำพวกธรรมที่เปนใหญ่ไกลนิวรณ์ คือศรัทธาเชื่อก่อนด้วยทดลอง
แล้วถัดถึงตัวสติที่ตริคฤก รู้ระฤกร้ายดีเปนที่สอง
ที่สามนั้นวิริยะเข้าประคอง สมาธิจัดเปนกองที่สี่มี
ที่ครบห้าคือปัญญาอันรู้ชัด กระจ่างจัดแจ่มสว่างทางวิถี
ทั้งห้าสิ่งสรรสิ้นว่าอินทรีย์ แต่ล้วนเปนอธิบดีสำเร็จการ
อินทรีย์หกยกชัดจัดฉักกะ จักษุโสตฆานะชิวหาหาญ
อิกกายใจสาธกหกทวาร ให้เสร็จการดูฟังทั้งสูบดม
กับลิ้มรศรู้สัมผัดอัตถ์คดี ท่านจึ่งเรียกอินทรีย์ก็สบสม
อิกอินทรีย์ยี่สิบสองปองนิยม โดยนุกรมอย่างวิจิตรพิสดาร
ฉันชักมาว่าให้เหนเปนกระทู้ จะใคร่รู้ในบาฬีมีวิตถาร
จะร่ำเพ้อกี่พรรณนากี่ช้าการ จงวิจารณ์บทระบินว่าอินทรีย์
ซึ่งมาพูดคำไทยไม่ถนัด เหนใช้ชัดไปข้างฝ่ายกายฉวี
เหมือนคำชมสมสิ้นทั้งอินทรีย์ อิกโอ่อ่าอินทรีย์ก็มีชุม
ความก็ชัดไปข้างชมรูปศิริ ต่อตรองติจึ่งจะทราบอยาบสุขุม
ด้วยโวหารฝ่ายข้างไทยมักใช้คลุม ได้เหนชุมเช่นสกนธ์แปลว่าตัว
กับคำอื่นก็ยังมีเปนที่อ้าง ถ้ารู้บ้างเหนบ้างก็ยังชั่ว
จะสว่างส่างใสที่ใจมัว ไม่ต้องกลัวคลางแคลงระแวงคิด
คือใช้คำว่าพิทักษ์เปนรักษา มโนไมยใช้ว่าม้าไม่สนิท
กับภาราว่านครควรพินิจ หนึ่งลิฃิตใช้กัณถัดว่าอัศวา
อิกคำสั่งใช้เฃียนว่าราชสาร หนึ่งโวหารเหนใช้ว่าพูดกล้า
อิกคำเรียกเพชรนิลว่าจินดา เปนวาจาแปร่งแปร่งคลางแคลงคลุม
ราชสารควรใช้ว่าสาสนะ เช่นคำพระสาสนาว่ากันกลุ้ม
อันใช้คำแปร่งเช่นนี้มีชุม เคลือบเคลือบคลุมคลุมฉะนี้นา
จงรู้รอบลอบไทรใช้ตัวนี้ กับคำว่าต้นไทรใหญ่สาขา
ต้นไม้ดงทรงช่อชูผกา พระจักราทรงฤทธิ์สถิตยเนา
เรือที่นั่งลำทรงบรรจงหมด กับอิกรถที่นั่งทรงเฉิดเฉลา
พวกคนทรงมักจำนงต่อน้ำเมา ยุพเยาว์สรรทรงล้วนนงคราญ
เปนไข้ทรางวางยามิใคร่ถูก ใครช่างปลูกต้นทรางพฤกษาสาร
เหนฝูงช้างบงทรางฃึมงีมนาน สองฟากธารไม้ทรางเหมือนอย่างกลึง
บุษบาแค้นใจเปนใหญ่หลวง สองพระกรซ้อนทรวงอยู่ผึงผึง
ปะเสหรันบาหยันให้พรั่นพรึง ไม่อ่าอึ้งบอกเล่าเจ้ากระทรวง
เหนคางคกตายซากไม่อยากหยิบ มนต์กระซิบซากผีต้องพลีสวง
ถ่านไม้ซากถ้าใครเอาสุมพลวง มันแรงล่วงเลยไปไหม้เปนจุณ
กระบวนแห่คราวนี้มีแปลกแปลก ทั้งบังแทรกบังสูริยเสนอหนุน
คนดูเบียดเสียดแทรกกันชุนละมุน ใครทำวุ่นแซงแทรกก็แตกวง
ที่ทางทรอกกรอกเกริ่นเนินไศล ถ้าแม้นใครไม่ประจักษ์ข็มักหลง
ที่ทรอกแทรกแล้วต้องแยกไปตามตรง ท่านจำนงแผลงแทรกชำแรกแทน
เช่นใช้คำชำแรกแผ่นดินดล นั้นคือคนแขงเวทวิเศศแสน
กับพวกนาคถิ่นฐานบาดาลแดน ไม่ฃัดแคลนแทรกดินสิ้นด้วยกัน
อิกคำทรุดใช้ทอรอประกอบ ตามระบอบแบบบัญญัติท่านจัดสรร
เหมือนตึกทรุดเสาทรุดฉุดไม่ทัน ธรรมเนียมนั้นเสื่อมทรุดชำรุดไป
คำว่าทรุดกับชำรุดนี้ไม่แปลก เปนคำแยกเพราะท่านแผลงแสดงไข
ชำรุดเปนคำแผลงจงแจ้งใจ ก็คือทรุดคำไทยที่ใช้กัน
เฉิดเฉลาทรวดทรงนางนงลักษณ วรภักตรผุดผ่องเพียงบุหลัน
พวกโมงครุ่มสรวมเริดประเสริฐครัน เทริดสุวรรณสวมเศียรเจียนจะคลุม
ที่คนขัดอัดอั้นปัญญาอับ คนมีทรัพย์มีศักดิ์มักสุขุม
ด้วยผู้ที่ปรีชามาประชุม ชักชุมนุมความฉลาดอาจประมวน
หนึ่งคำไทยใช้ว่าโลหิตทรับ บอสะกดบทฉบับแบบกระสวน
ถึงจะใช้ตัวซอก็พอควร เพราะกระบวนคำไทยใช้ไม่ยืน
กลอักษรกลอนสยามความระหัศ ไม่ทราบชัดแล้วก็ใครอย่าใฝ่ฝืน
ได้ซึมทราบอาบอ้ำเพราะกล้ำกลืน คนโหดหื่นห่อนจะทราบที่บาปกรรม
ทรามสวาดิ์ไยมาขาดไมตรีจิตร ทรามสงวนควรคิดที่ข้อขำ
อิกทรามไวยทรามรักชักประจำ กับอิกคำโฉมงามทรามคะนอง
ผลไม้ดิบห่ามทรามกำดัด แสนสมบัติทรามชมภิรมย์สนอง
อิกเสื่อมทรามเลวทรามตามละบอง คนลำพองนั้นว่าปัญญาทราม
ของปะหรักหักพังทั้งชำรุด เขาเรียกว่าโทรมทรุดภาษาสยาม
อิกคำว่าโทรมนัศนี้ชัดความ พูดกันตามคำมคธบทบาฬี
แปลว่าความเสียใจฤไทยทุกข์ คู่กับศุขโสมนัศเจริญศรี
อิกกรวดทรายรายพื้นปัถพี คำเหล่านี้เสียงซอทอรอแทน
อันคำทอรอประโยคโสลกนี้ เห็นต้องที่คำมคธโดยแบบแผน
ที่คำไทยควรใช้ซอเปนแดน ได้เปลี่ยนแปลนตามเหตุสังเกตตัว
แต่บุราณใช้มากเปนรากเหง้า จะดัดแปลงของเก่าเขาจะหัว
จะถูกจับนัดยาข้าก็กลัว ต้องคิดถัวกันทั้งหมดมคธไทย
ตัวทอรอแทนซอเช่นนี้นี่ ใช่จะมีเพียงเท่าอย่างที่อ้างไขย
ถึงคำอื่นก็ยังดื่นมีถมไป นี่ฉันเลือกแต่ที่ใช้กันมาชุม
(๘๗) คำว่าธงคงใช้ธอธนิต คือท่านคิดคำบาฬีซึ่งมีกลุ้ม
ธะชะศับท์สาธกไม่ปกคลุม คำรวมรุมธุชธวัสสบัดปลาย
ธะชะเปนคำเดิมท่านเติมอุ เช่นเชตุพนวิหารอ่านขยาย
ชมพูนุทตัวอย่างอ้างพิปราย ท่านใช้กลายอุอะสระไทย
(๘๘) กับอิกคำธุลีนี่ลิฃิต ธอธนิตใช้มาแต่คราไหน
ข้อยก็เกิดมาไม่ทันสำคัญใจ ตามที่ได้สอบสังเกตในเหตุการณ์
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท อุปฮาตราชบุตรสิทธิสาร
เข้ามาเฝ้าทูลธุลีบทมาลย์ ขอประทานโทษาฝ่าธุลี
เปนตัวอย่างอ้างออกอุทาหรณ์ ให้รู้บ่อนใช้คำธุลีนี่
หนึ่งผงเผ่าเท่าละอองอิกผงคลี ก็คงเฃียนว่าธุลีเช่นนี้ตรง
(๘๙) อิกคำหนึ่งซึ่งมาแต่มคธ คือนิยมว่ากำหนดโดยประสงค์
ไม่ต้องกับความไทยใช้จำนง ต้องแบ่งลงสองส่วนควรพิจารณ์
ส่วนหนึ่งสาธกยกเปนบท ฝ่ายมคธข้อลิฃิตอย่างวิตถาร
ส่วนนิยมอย่างไทยใช้มานาน แต่พ้องพานกันกับพจน์บทบาฬี
ไม่นิยมสมบัติสลัดทิ้ง ด้วยเหนจริงถ่องทางธรรมวิถี
ให้นิยมชมชื่นรื่นฤดี ความอย่างนี้คำไทยใช้นิยม
จะแปลว่ากำหนดก็ใช่ที่ ถ้าแปลว่ายินดีนั้นดูสม
พากย์สยามพากย์อื่นเข้ากลืนกลม แยกนิยมออกเปนสองทำนองความ
(๙๐) หนึ่งคำใช้ว่าทำเนียมธรรมเนียมนี้ แต่เดิมทีใช้ประจำคำสยาม
คือแผลงเทียมว่าทำเนียมคดีตาม ดูก็งามในระเบียบว่าเทียบเทียม
ซึ่งเปลี่ยนใช้ธรรมธิมีรอหัน คือจอมธรรมจอมจบพิภพเสียม
พระจอมเกล้าเหล่ากระวีไม่มีเทียม โปรดให้ใช้ธรรมเนียมอย่างนี้นา
ด้วยอ้างคำธัมมะนิยะมะ มะคะธะทางพจนภาษา
จะเขียนอย่างข้างไทยที่ใช้มา ก็เฃียนว่าเปนทำเนียมทำนองคำ
ธรรมเนียมนี้แปลความตามมคธ ว่ากำหนดธรรมดาอุส่าหสำ
เหนียกจงแน่แต่ลบบทควรจดจำ ให้ชัดชำนาญนึกเร่งตฤกตรอง
(๙๑)
อนึ่งเพียรเรียนรู้จงประจักษ์ ในคำรักแลว่ารักษ์นี้เปนสอง
มีที่ใช้ต่างความตามทำนอง จะจัดจองแจ้งแจงที่ใจจริง
ว่ารักรักคำไทยใช้กันเกลื่อน คำเทียบเหมือนชายสมัครักกับหญิง
พ่อแม่รักใคร่บุตรสุดประวิง ฤาว่าหญิงรักชายก็คล้ายกัน
หนึ่งต้นรักดอกรักอิกน้ำรัก แน่ตระหนักคำไทยได้เศกสรร
ไม่ต้องที่ซึ่งจะมีศอการันต์ กอสะกดเท่านั้นแลถูกความ
รักษ์ที่มีษอบอเข้าต่อท้าย บอกธิบายว่ามิใช่คำสยาม
จงแบ่งสันปันส่วนอย่าลวนลาม ใช้ให้ถูกต้องตามความนิยม
พระยาบำเรอบริรักษ์ได้ซักฟอก ขู่ตะคอกขึ้นเสียงเถียงขรม
บริรักษ์ผู้ช่วยป่วยเปนลม ถึงพระพรหมบริรักษ์ก็หนักใจ
อนุรักษราชมณเฑียรบำเรอภักดิ์ กับหลวงรักษราชหิรัญสำคัญไข
บริรักษภูธรจรครรไล ขุนบริรักษในนครบาล
จงประจักษ์เถิดว่ารักษเช่นนี้หนอ เปนพวกษอบอการันต์ท่านบรรหาร
พากย์มคธลดเปนไทยใช้มานาน พจมานรักทั้งคู่ดูคดี
(๙๒) หนึ่งวงวงษพงพงษทั้งสี่พจน์ ควรกำหนดที่ในบ่อนอักษรศรี
อันวงษ์พงษ์ษอประจำคำบาฬี แต่วงพงเปล่านี้นี่คำไทย
เดินให้ตรงหนาอย่าวงอย่าเวียนแวะ ชายชำแระป่าพงปรงไสว
เดินอย่าเลยเหลิงหลงเข้าพงไพร ผ้าอะไรโพกเศียรแล้วเวียนวง
อันวงพงเช่นนี้ชี้แถลง ความแสดงคำไทยใช้ประสงค์
คำบาฬีเช่นมนตรีสุริยวษ กับพระยาวรพงษผู้ภักดี
อันที่ใช้คำวงษกับพงษพจน์ โดยกำหนดเชื้อวงษพระทรงศรี
กับเผ่าพงษ์วงษ์มุขมนตรี คือเสนาธิบดีเสนีรอง
จะว่าลัดตัดความแต่ย่อย่อ บันดาเผ่าเหล่ากอนับสนอง
ควรจะเรียกวงษ์พงษ์จำนงปอง จะจำลองเลศใช้ในยุบล
เรื่องที่นับโดยลำดับพระพุทธเจ้า แต่ต้นเค้าเก่าก่อนโดยนุสนธิ์
โพธสัตวเชื้อสายพระทศพล ซึ่งขวายขวนปองประโยชน์โพทธิญาณ
นี่เรียกว่าพุทธวงษ์สิ้นทั้งหลาย เพราะท่านสืบเชื้อสายเปนแก่นสาร
ได้ต่อเนื่องแต่ปฐมมานมนาน นับวงษวารฝ่ายข้างละโลกีย์
อันวงษพงษพูดใช้ในสยาม กระแสความหลายอย่างอ้างถิ่นที่
รวิวงษภาณุวงษพงษก็มี อิกวาทีหนึ่งว่าภาษกรวงษ
หนึ่งว่านเครือเชื้อวงษประยูรศักดิ์ ถนอมรักวงษประยูรตระกูลหงษ
สงวนศักดิ์สมศักดิ์จักรพงษ บรมวงษแต่ปฐมอุดมพันธุ
พระอาทิตยวงษดดำรงยศ สุริยวงษปรากฏว่าวงษสวรรค์
ราชวงษเจ้านายก็คล้ายกัน ล้วนเปนวงษเทวัญจุติมา
สุรวงษคือพงษพระอาทิตย อุไทยวงษคงลิขิตในเลขา
พระวรุตมพงษทรงศักดา วงษมหาสมมุติวิสุทธิวงษ
ทั้งวงษ์พงษ์นี่จำนงอเนกนัก ตามแต่เรื่องเยื้องยักโดยประสงค์
เชื้อกระษัตรเรียกว่าขัติยพงษ์ กับเรียกราชวรวงษ์ก็ตรงกัน
อุปฮาดราชวงษ์ได้ปลงจิต บำรุงกิตยในมลาวะเขตรขันธ์
พระจอมพงษทรงโปรดที่โทษทัณฑ์ ตามสำคัญวงษานุวงษ์ทูล
พระสัมพันธวงษเธอเสนอถ้อย ไม่เคลื่อนคล้อยโดยดำรัสบดินทรสูรย์
พระสงสารประยูรวงษทรงนุกูล ให้เพิ่มพูนจักรพรรดิพงษ์พาร
สมมุติเทพพงษ์สฃวงษ์กระษัตริย ท่านแจงจัดพระประพันธวงษ์สมาน
พระวงษ์เธอวรวงษ์จงพิจารณ์ จะเฃียนอ่านจงกระจัดให้ชัดคำ
ซึ่งเฃียนว่าเผ่าพงษ์ฤาวงษ์วาร นี่ข้อขานเปนกลางกลางแลอย่างต่ำ
วงษ์ตระกูลวงษ์ญาติต้องเกรงยำ ทั้งสองคำนี้ก็ว่าเปนสามัญ
หนึ่งนามพระราชาคณะสงฆ์ ท่านก็ใช้วงษ์พงษ์จำนงสรร
อริยวงษ์โพธิวงษ์ดำรงธรรม์ อิกคำนั้นพระศรีวิสุทธิวงษ์
ซึ่งหันเหียนเปลี่ยนใช่ในคำศับท์ ท่านแปลงกลับโดยความตามประสงค์
มหาวัดได้เปนที่กระวีวงษ์ พระอุตตะโมรุพงษ์นามพระครู
วงษ์กับพงษ์สองคำร่ำไม่สุด จะคุ้ยขุดมากเหลือจะเบื่อหู
แต่เท่านี้จำให้คล่องก็ลองดู คงได้รู้ใช้พงษ์กับวงษ์วาร
(๙๓) หนึ่งคำเก่าเค้ามูลเปนมคธ แต่เคลื่อนลดความบาฬีที่บรรหาร
คือโมโหเวทนาใช้มานาน กับสงสารนี้อิกคำจำวินิจ
โมโหนั้นแปลว่าหลงตรงกับศับท์ ข้างไทยกลับใช้ว่าโกรธโทษะจิตร
เหมือนโมโหขึ้นมาข้าไม่คิด ผิดก็ผิดชอบก็ชอบคงตอบมัน
เหนคนหนึ่งโยโสโมโหเกิด ดูเอาเถิดเขามายั่วโมโหฉัน
โมโหกลุ้มรุมจิตรคิดไม่ทัน เช่นนี้นั้นพูดโมโหว่าโกธา
ความระแวงแพลงพลาดคลาศมคธ ยกเปนพจน์ข้างสยามภาษา
ด้วยทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ใช้กันมา ต้องยอมเปนวาจามคธกลาย
(๙๔) เวทนาเปนภาษามะคะธะ ในคำพระบาฬีนั้นมีหลาย
เนื้อความแปลเหมือนเหมือนไม่เคลื่อนคลาย จะขยายแปลคำจำวิจารณ์
เวทนาว่ารู้แจ้งอารมณ์ คือศุขทุกขมัธยมแยกบรรหาร
เกิดแต่ของข้องกระทบครบทวาร จักษุโสตลิ้นฆานทั้งกายใจ
คือตาดูหูฟังทั้งได้กลิ่น กับอิกลิ้นลิ้มรศกำหนดได้
กายกระทบถูกสำผัศท่านจัดไว้ วิญญาณในรู้ตระหนักประจักษความ
เมื่ออารมณ์มาสัมผัศทวารหก ท่านแยกยกแบ่งปันสรรเปนสาม
หนึ่งเปนศุขคือสบายขยายนาม อนึ่งความทุกขร้อนซ้อนขุ่นทรวง
อนึ่งนั้นอุเบกขาว่าเพ่งเฉย คือแหวกเลยศุขทุกขอาไลยห่วง
ไม่มีทุกข์ไม่มีศึขสิ้นทั้งปวง สามกระทรวงนี้เปนชื่อเวทนา
แล้วท่านแจกแยกคัดจัดอิกสอง ต่างด้วยคลองจิตรเดินในแถวห้า
โทมนัศโสมนัศถัดกันมา นี่ก็ชื่อเวทนาโดยอารมณ์
ยามเมื่อเหนของงามฤายามสดับ ดนตรีขับร้องขานประสานสม
อิกเครื่องหอมไล้ลูปแลสูบดม ระสารมณ์เสพยรศที่โอชา
ได้สัมผัศฟูกเบาะอิกผ้าผ่อน ลอออ่อนยั่วยวนคำกฤษณา
ฤาสังวาศนารีกลกรีธา ซึ่งเอิบอิ่มในอุราระรื่นรมย์
หนึ่งทราบความตามถานที่สังเกต ซึ่งบอกเหตุลาภยศกำหนดสม
ให้แจ่มจิตรฟูฟื้นด้วยชื่นชม เรียกอารมณ์โสมนัศจัดเปนกอง
ถ้าได้เหนได้ยินได้กลิ่นรศ ถูกแขงอยาบทราบบทยุบลผอง
ให้เศร้าจิตรเสียใจในทำนอง นี้เปนกองโทมนัศเวทนา
ความในพระบาลีเช่นนี้แน่ ตามกระแสในมคธภาษา
ผิดกับเสียงคนไทยที่ใช้มา ว่าสมเพชเวทนากับทารก
แสนสงสารเวทนาหนักหนานัก ด้วยนงลักษณ์จะมาพรากไปจากอก
เวทนาสารพัดที่จัดยก เปนวาจกวาจาภาษาไทย
เหนลงในความว่าเอนดูหมด กระแสบทบอกความตามวิไสย
เปนแผนกแยกจากมคธไป ยกเปนคำไทยใช้กันเอง
(๙๕) ยังสงสารนี่อิกคำก็จำยาก จะวิภาครากโคนให้โดนเผง
เพราะคนไทยพูดใช้กันคฤานเครง ไม่ถูกเพลงกับมคธบทวิธี
คำสงสารซึ่งบรรหารตามมคธ ว่าท่องเที่ยวไม่กำหนดถานวิถี
คือเวียนว่ายตายเกิดในโลกีย์ จนไม่มีเบื้องต้นค้นไม่กบ
ท่านเรียกว่าสังสาระวัฏวน แทบทุกคนเวียนอยู่ไม่รู้จบ
หนึ่งท่านเรียกสงสารมหรรณพ ต้องหมุนไปกว่าจะจบพบพระนิพพาน
ความในพระคัมภีร์นั้นมีชัด ท่านเรียกสังสารวัฏว่าสงสาร
ไม่ถูกกับคำไทยที่ใช้นาน คือสงสารสมเพชเวทนา
แสนสงสารเยาวมาลย์มิ่งสมร มาทุกขร้อนยากแสนสหัศสา
ซ้ำสงสารพระกุมารองค์นัดดา ความเช่นว่านี้สงสารขานข้างไทย
เปนสองทางวางแยกแจกให้รู้ ถ้าใครดูแล้วอย่าคลำจำให้ได้
ผู้ที่มักฟั่นเฟือได้เตือนใจ ดีกว่าไหลเล่อเลอะละเลิงเลย
(๙๖) อนึ่งคำสังเวชสมเพชนี้ แต่เดิมทีคำมคธบทเฉลย
สังเวคะคำขยายพิปรายเปรย ท่านที่เคยปริยัติคงขัดความ
สังเวคะแปลว่าสลดจิตร มาต่อติดใช้ประจำคำสยาม
ถึงผู้ที่แปลไม่ได้ก็ใช้ตาม จนรู้ความกันดิบดิบหยิบเจรจา
ซึ่งสังเวชกับสมเพชคำเดียวกัน แต่ท่านสรรแปลงวอเปนพอหนา
คอกับชอเปลี่ยนผลัดถัดกันมา ลงวาจาสังเวชสมเพชแปลง
ที่ใช้คำหอธรรมะสังเวช พระทรงเดชทรงประดิษฐคิ
ดแถลง
ยังเถลิงขึ้นเปนนามอารามแปลง วัดที่แขวงบางลำพูคูนคร
ชื่อสังเวชวิสยารามเปลี่ยน เพราะอาเกียรณอยู่ด้วยศพสมทบถอน
ทั้งใหม่เก่าเผาฝังประดังฟอน เปนที่จำใจอ่อนสลดลง
วัดสังเวชวิไสยเปนคำอัตถ์ แปลก็ชัดชัดความตามประสงค์
คือเปนที่จิตรสลดอารมณ์ปลง อารามคงแปลว่าวัดชัดความไทย
(๙๗) หนึ่งพูดอ้างวาจาว่าประมาท ถึงนักปราชยากจะคิดวินิจไฉย
ด้วยแปร่งมาข้างภาษาคนไทยไทย แปลกกับไนยเนื่องมาแต่บาฬี
คำประมาทนั้นว่าขาดสติตฤก ไม่ได้นึกในกุศละราศี
ขนแต่บาปใส่ตัวกลั้วราคี การเช่นนี้เรียกประมาทขาดวิจารณ์
ข้างคำไทยใช้กันว่าดูถูก เหมือนว่าลูกประมาทพ่อเปนข้อขาน
เออนายตาดนี้ประมาทเรามานาน ไม่เคยการจะประมาทชาติปุมา
คำประมาทพูดแพร่งทุกแห่งหน เพราะเราจนคนทุกชาติประมาทหน้า
ศิศยประมาทลบหลู่ท่านครูบา เข้าเดินป่าใครประมาทมักพลาดแพลง
ภาษาไทยพูดใช้คำประมาท มิได้คลาศความดูถูกแทบทุกแห่ง
ถึงคนรู้ก็ต้องใช้ไม่ระแวง เพราะตกแพร่งเปนภาษาเจรจากัน
(๙๘) กับมานะนี่อิกคำจำไว้เถิด บางทีเพริดความเขวจนเหหัน
บางทีใช้ถูกประสงค์ตรงสำคัญ มานะนั้นว่านับถือแลถือตัว
คือถือชาติถือตระกูลประยูรศักดิ์ หนึ่งถือความรู้หลักว่าเลิศทั่ว
อิกถือเรถิ่ายเขามักเมามัว หนึ่งถือตัวตามยศลดไม่ลง
ถ้าแม้นเหนคนต่ำทำรานระ เกิดมานะฮึดฮือกระพือส่ง
ในสยามก็คือความที่ทระนง ด้วยยศชาติเชื้อวงษ์แลวิทยา
ความเช่นนี้กับบาฬีพอเคียงใกล้ แปลก็ได้ถูกความตามภาษา
มานะหนึ่งคำไทยที่ใช้มา เปนภาษาแปร่งเสียงเพลี่ยงกันไป
ดังคำว่าข้าคิดมานะนัก หญิงคนนี้นี่ข้ารักแต่ไหนไหน
ข้าเกี้ยวมันมันช่างด่าข้ากระไร ข้าแค้นใจคิดมานะจะให้ลุ
ข้าจะตั้งพากเพียรเข้าเวียนปลอบ แม้นไม่ชอบแล้วจะย้ายข้างฝ่ายดู
คิดคุมเหงให้มันเกรงด้วยเย้ายุ คงได้ลุสมคเนไม่เปรแปร
ความอย่างนี้ดูทีเหมือนจะผิด เปนมานะไม่สนิทผิดกระแส
ในมคธกับสยามเนื้อความแปล เช่นคำเรียกเรือกับแพก็ต่างกัน
ถึงคำเดียวแต่ว่าเรือก็เหลือยาก โดยวิภาคชื่อก็มีทุกสิ่งสรรพ์
เรือกระบวนเรือที่นั่งเรือดั้งกัน เรือสำปั้นเรือกันยาแผ่นม้ายวน
เอ่ยขึ้นคำเดียวเรือเท่านั้น ชื่อกับรูปเรือปันเปนส่วนส่วน
เหมือนมานะไทยมคธบทกระบวน ถ้าใคร่ครวญก็คงได้รู้ใจความ
(๙๙) หนึ่งจงรู้แยบคายอุบายบท คำว่ารดนี้ต้องสรรปันเปนสาม
คือคำรดที่สะกดด้วยดอตาม คำสยามคนไทยมักใช้ชุม
เหมือนรดน้ำย่าปู่ครูอาจารย์ ในฤดูตรุศสงกรานต์รดกันกลุ้ม
พวกพราหมณ์รดสังขกรดกับอีกกุมภ์ บ้าคลั่งคลุ้มต้องด้วยบทรดน้ำมนต์
อีกรดผักรดหญ้าสารพัด รดที่ไทยใช้ชัดทุกแห่งหน
ตามภาษามาแต่แรกไม่แปลกปน โดยยุบลแบบรดสกดดอ
ราชรถกับทั้งรถอันเศศสิ้น ในระบินแบบรถสกดถอ
บันดารถสัตวเทียมเอี่ยมลออ สะกดถอสิ้นทั้งหมดบทบังคับ
อีกคำหนึ่งซึ่งว่ารศสะกดสอ ใครสกดถอฤาดอจะต้องปรับ
ปะที่ครูปากกล้าจะด่ายับ เพราะไม่จับจำเค้าทำเดาดึง
ระสะว่ารศยาหารตระการหลาก รศมีมากเปรี้ยวหวานน้ำตาลน้ำผึ้ง
ทั้งรศฝื่นรศเล่าเมามึนตึง เอะอะอึงด้วยเปนรศไม่อดออม
จืดเผ็ดเค็มขมขื่นแต่พื้นรศ ว่าให้หมดทั้งฝาดทั้งเฝื่อนย่อม
สรรเปนรศหมดสิ้นต้องยินยอม ศอสกดหนะอย่าปลอมให้แปลนไป
ประเภทรศนี้ท่านทักจัดเปนสอง ตามทำนองการจิตรวินิจไฉย
คือแจกออกเปนภายนอกกับภายใน ท่านจัดไว้รศทั้งสองต้องตรองการ
รศที่รู้ด้วยกายเปนภายนอก เช่นอย่างบอกมาทั้งหมดรศอาหาร
ที่สัมผัศชัดชิวหาทวาร เปรี้ยวแลหวานจัดว่ารศพาหิรา
รศจำเภาะเปนวิไสยแต่ใจรู้ ก็มีอยู่หลายหลากมากนักหนา
คือรศซึ่งประจักษ์ในวิญญา รศสังวาศกรีธาในกาเม
อันรศนี้นี่สำคัญกระสันจิตร มันให้คิดหวนหันออกปันเป
แม้นถึงพระที่ผนวชยังซวดเซ ต้องหันเหออกมาหากามะรศ
รศสังวาศเรี่ยวแรงทั้งแขงกล้า เหนแรงกว่ารศอะไรที่ไหนหมด
ทำใจมืดโมหะไม่ละลด เหมือนกันหมดจิตรไพร่ใจผู้ดี
หนึ่งวาจาของผู้ใดพูดไม่ปด จัดเปนรศล้ำเลิศประเสริฐศรี
พระสัทธรรมซึ่งนำหน่ายโลกีย์ พระบาฬีปรากฏว่ารศธรรม
หนึ่งเพลงขับคำกลอนอักษรเสนาะ ที่ไพรเราะคายคมคารมขำ
นี่ก็เรียกกันว่ารศบทลำนำ อุส่าหจำจำจดรศวิจารณ์
รศซึ่งฉันพรรณนามาทั้งนี้ จัดคะดีรศภายในออกไขขาน
มิใช่รศรู้ด้วยลิ้นแต่วิญญาณ ก็เสรจการลงเปนรศบทธิบาย
อนึ่งการสามัคคีอารีรัก ที่พร้อมพรักร่วมจิตรมิตรสหาย
เจ้ารักข้าข้ารักเจ้าบ่าวรักนาย ไม่สลายลดเลี้ยวเปนเกลียวกลม
ทุกทางกิจมิได้คิดรังเกียจเกี่ยง ไม่หลีกเลี่ยงลบหลู่แลขู่ข่ม
มีการใดพร้อมใจช่วยระดม ด้วยนิยมยอมสมัคสามัคคี
ซึ่งรอมชอมชักสมานทุกหมู่หมด จัดว่ารศล้ำเลิศประเสริฐศรี
อำนวยผลดลปรัจจุบันมี เช่นตัวอย่างอ้างชี้ได้ชัดชัด
ในมนุษย์เหนประจักษ์ไม่พักว่า เล่าแต่เรื่องสกุณาปักษาสัตว
นกกระจาบฝูงใหญ่ได้อาณัติ สัญญากันรู้ถนัดนัดพร้อมใจ
เมื่อเวลาพรานป่าเอาข่ายทอด ศีศะลอดตาแหแลไสว
แล้วพร้อมกันบินปรือกระพือไป สวมก่อไผ่เชิงหนามที่ตามดง
แล้วย่นคอย่อตัวเปลื้องหัวปลด ค่อยเลื่อนลดจากตาข่ายโดยประสงค์
นกทุกตัวรอดชีวิตรไม่ปลิดปลง เพราะจำนงพร้อมพรักสามัคคี
เมื่อวันหนึ่งฝูงนกกระจาบใหญ่ พากันไปลงที่พื้นพนาศรี
แสวงหาอาหารตระการมี สกุณีบินไขว่โผไปมา
ขะณะนั้นนางนกกระจาบจ้อย บินเคลื่อนคล้อยเรื่อยโร่โผถลา
เอาเท้าระถูกศีศะวัฏะกา ก็โกรธาด่ากันด้วยอยาบคาย
นกที่เปนพวกพ้องสองนกนั้น ก็รุมรันช่วยกันทะเลาะทั้งสองฝ่าย
สามัคคีร้าวแยกแตกทำลาย ภอตาข่ายพรานหุ้มไปคลุมลง
ด้วยเกิดเกี่ยงเถียงกันอยู่อึงมี่ ก็ไม่มีใครสอดศีศะส่ง
พากันติดตาข่ายวายชีวงค์ พรานจำนงลุลาภหาบไปเรือน
สามัคคีมีผลดลประจักษ์ ถ้าพร้อมพรักไม่สลายไม่กลายเกลื่อน
หมั่นเสพยรศสามัคคีทุกปีเดือน คงไม่เคลื่อนคลายสวัสดิ์พิพัฒพอ
สามัคคีนั้นเปนที่สรรเสริญ ความเจริญมีอะเนกอะนันต์หนอ
ถ้าทำให้แตกพังไม่รั้งรอ โทษก็พอเหลือตามออกครามครัน
ถึงการศึกสงครามต้องคร้ามคิด คนพวกเดียวที่สนิทจะคิดผัน
เปนไส้ศึกฦกซึ้งถึงฉกรรจ์ ถ้าหากเปนเช่นนั้นแล้วร้อนใจ
แม้นร่วมคิดจิตรพร้อมกันเปนหมู่ ถึงศัตรูอื่นจะคิดก็ยากได้
เกรงอำนาจบมิอาจจะก่อไภย เพราะที่ได้ดื่มรศสามัคคี
เพราะฉะนั้นเราท่านควรรักษา เปนมหาศุภผลมงคลศรี
คำว่ารศที่กำหนดในวาที ความเช่นนี้ศอสกดบทธิบาย
(๑๐๐) หนึ่งผู้เพียรเรียนรู้จงรอบคอบ เชิงประกอบการกระวีนั้นมีหลาย
จงสนใจเรียนแบบที่แยบคาย อย่ามักง่ายจำทรงให้คงทน
หนังสือไทยที่ท่านใช้นั้นมีมาก คำหลากหลากเลาเลศล้วนเหตุผล
แม้นไม่ได้ศึกษาก็ท่าจน อุส่าห์ขวนขวายรู้เช่นภูรี
กระบวนหนึ่งตัวเขียนไม่เปลี่ยนแปลก แต่อ่านแยกสองความตามวิถี
วัดเขมาโกฏเขมาเพลาก็มี แต่ที่นี่ไปถึงป่าเพลาเย็น
ที่ริมเชิงเสลาภูผาใหญ่ ล้วนกอไผ่ลำสล้างเสลาเห็น
หัดบวกปูนใบเสมากว่าจะเปน น่าโฮเตนปลูกเสมาดูเพราตา
ใครไปตัดต้นโสนที่คลองโสน ตัดจนโกร๋นเหี้ยนหักเอาหนักหนา
ปูแสมแลเขดาเขดาระงา เปนวาจาสองเงื่อนอย่างเพื่อนทาง
จีนยิโหงโผเล่นกระเตนโหง เสียงดังโผงฟาดปึงดังผึงผาง
ที่ดงแขมเมืองแขมแลดูบาง ท้องตราวางเมืองแขมแปลสำเนา
ใครคุมเหงจีนเหงจนเซซวด อ้ายจีนฮวดนี่มันเก่งคุมเหงเขา
อย่าหวงแหนจอกแหนให้แก่เรา พอลมเพลาก็เพลาลงสายัณห์
วันเสวเสวกาจะมาพร้อม อย่าพวงหลงล้อมพวงปะหนัน
ที่บ่วงสวงสวงเสท้าวเทวัญ ดูน่าพิศวงครันนึกหวั่นแด
คนขี่ม้าบ่าวพระยารามคำแหง ชื่ออ้ายแตงตกม้าทำหน้าแหง
ผอบกับผอบทองเปนสองแคว อ่านจงแลดูความตามทำนอง
(๑๐๑) อันคำคู่นี้ต้องรู้โดยสำเหนียก ด้วยคำเรียกพูดกันนั้นเปนสอง
ตัวอักษรร่วมกันจงหมั่นตรอง ให้ลงคลองเค้าความตามคดี
ปกีระณำคำกลอนพจนาดถ์ ขอเชิญปราชช่วยพิจารณ์ในสารศรี
ที่บกพร่องพลาดพลั้งก็ยังมี ท่านเมธีโปรดเพิ่มช่วยเจิมจุน
หนึ่งวางบทพจน์พากย์ถลากถลำ เหมือนผักยำเคมเปรี้ยวไม่เฉียวฉุน
ด้วยเดิมจิตรคิดเล่นพอเปนคุณ แก่ฝูงกุลบุตรเล็กเด็กเด็กเรียน
เปนไวพจจน์ย่อย่อพอสังเกต ในต้นเหตุแห่งการจะอ่านเขียน
เด็กไม่เขลาเชาดีทั้งมีเพียร คงจะเขียนรู้ง่ายสบายเอย
ฯ
๏ สารสั่งฟังแล้วพ่อ เพียรจำ
เลาเลศเหตุแห่งนำ คิดเค้า
ในเรื่องปะกีระณำ
นำแนะ ไว้นา
ผูกจิตรคิดค่ำเช้า
ชอบได้ฉลาดเฉลิม ฯ
๏ ใดใดใครใคร่รู้ พิสดาร
จงใฝ่ใต่สวนสาร สืบให้
พบกลอนเทียบพิจารณ์ ไวพจน์ นั้นนา
แม้พบจักอ่านได้
เรื่องกว้างทางสอน ฯ
๏ ประมวนคำใช้ย่อ ยกหยิบ
นับประมาณเก้าสิบ แปดข้อ
เฉกผลพฤกษ์ห่ามดิบ สุกคละ กันเฮย
เชิญเลือกชิมเล่นน้อ
ฝาดเปรี้ยวดายคืน ฯ
โคลงสุภาษิตเครื่องสอนใจเตือนสติผู้เล่าเรียนดังนี้
๏ ความรู้รู้ยิ่งได้ สินศักดิ์
เปนที่ชนพำนักนิ์ นอบนิ้ว
อย่าเกียจเกลียดหน่ายรัก เรียนต่อ เติมนา
รู้ชอบใช่หอบหิ้ว
เหนื่อยแพ้แรงโรย ฯ
๏ วิชชาเปนเพื่อนเลี้ยง ชีวิตร
ยามอยู่เรือนเมียสนิท เพื่อนร้อน
ร่างกายสหายคิด
ตามทุก เมื่อเฮย
บุญหากเปนมิตรข้อน
เมื่อม้วยอาสัญ ฯ
๏ เรียนรู้รู้ให้โปร่ง ปราดเปรียว
จักฉลาดควรเฉลียว ติดด้วย
ปัญญาหน่วงกลมเกลียว สติกล่อม ไว้นา
ทำกิจการจวบม้วย
ห่อนพ้องไภยพาล ฯ
๏ อิดถีรูปา นารีรูปเอี่ยมอ้าง เปนทรัพย
ปุริสวิชชา บุรุษววิชชานับ หนึ่งได้
สุรำโยธา โยธีกลั่นแกล้วรับ รบบ่อ ขลาดแฮ
สะมะณะศีลา สมะณะครองศีลไซ้ สินี้ทรัพยแสน ฯ
๏ เรียนรู้แม้นรู้ถ่อง ถึงจริง
อย่ายกยอตนอิง
อวดอ้าง
อย่าเมาอย่าสุงสิง
เยียใหญ่
ถึงบ่โง่ถ่อมข้าง โง่ไว้ใจเยน
ฯ
๏ อุบลบอกฦกตื้น วารี
โฉดฉลาดจับวาที
ตอบโต้
จิตรตรงคดร้ายดี
ดูยาก นักหนอ
คนที่ปากโวโอ้ มักพลั้งพลันเข็ญ
ฯ
อ้างอิง : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร). ปกีระณำพจนาดถ์.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น