วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

ความลับของพิม

ความลับของพิม

                ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แถบสีเหลืองทองส่องแสงมาจากทิศตะวันออก บอกเวลาเช้าอันสดใส ท้องฟ้ามีเมฆเคลื่อนคล้อยไปตามการหมุนของโลก  นกน้อยส่งเสียงร้องดังแว่วมาจากต้นมะม่วงเยื้องหลังคาบ้านของเธอ  เธอถูกปลุกจากภวังค์แห่งความฝันด้วยเสียงเรียกของแม่
                                พิม ตื่นได้แล้วลูก
                เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเธอ เสียงทุ้มต่ำของพ่อจึงตามมา
                                พิม ตื่นได้แล้วลูก สายแล้ว เร็ว ๆ เข้า
                ได้ยินดังนั้นเธอจึงรีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอน พร้อมกับพับเก็บที่นอนให้เรียบร้อยในเวลาไม่ถึงนาที  เมื่อคืนเธอได้กลับมาพักที่บ้านเป็นคืนแรกของการปิดภาคเรียนแท้ ๆ  แต่วันนี้แม่กลับให้เธอไปทำบุญที่วัด  ไม่เป็นไรหรอก  ไปทำบุญจะได้รู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ต้องรบรากับการเรียน ทำการบ้าน ส่งงาน และการสอบที่พึ่งผ่านมาไม่นาน
                หลังจากนั้นทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ หญิงสาววัยยี่สิบสองทอดน่องไปตามทางมุ่งสู่วัดใกล้บ้านตามคำขอของแม่ มือข้างขวาถือตะกร้าอาหารอันประกอบด้วยต้มยำไก่บ้าน ขนมต้ม แอปเปิ้ลสำหรับถวายเป็นภัตตาหาร และขวดน้ำขนาดเหมาะมือสำหรับกรวดน้ำ พร้อมกับสะพายกล่องข้าวไว้ที่ไหล่ข้างเดียวกัน
แขนอีกข้างแกว่งไปมาตามจังหวะการเดินของเธอ  วันนี้เธอจึงอารมณ์เป็นพิเศษเพราะได้อุทิศส่วนบุญ
ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร

                วันนี้เมื่อปีที่แล้ว หญิงสาวแห่งดินแดนที่ราบสูง วัยยี่สิบเอ็ดมีความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงญาติพี่น้อง คิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด เธอเดินทางด้วยรถตู้โดยสารที่สารถีรู้จักมักคุ้นกับพ่อแม่ของเธอเป็นอย่างดีมุ่งหน้าไปยังจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก  การเดินทางร่วมสิบชั่วโมงทำให้เธอเหนื่อยล้าจนเผลอหลับไป จนกระทั่งถึงที่หมายนั่นคือบ้านของน้า ลูกพี่ลูกน้องของแม่ที่อำเภอแห่งหนึ่ง น้าชายรอต้อนรับเธอที่หน้าบ้าน ส่งสัญญาณให้รถจอด ทักทายกันเป็นพิธีแล้วช่วยกันขนสัมภาระเข้ายังที่พัก ซึ่งก่อนหน้านั้นหลานสาวของเธอสองคนเข้ามาพักอยู่ก่อนแล้วไม่กี่วันก่อนที่เธอจะมา แล้วเธอก็หลับไปอีกรอบ
                รุ่งเช้าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งน้าชาย น้าสะใภ้  ยา และ แมว หลานสาวของเธอ บรรยากาศแห่งความผูกพัน ทำให้พูดคุยกันอย่างออกรสขณะรับประทานอาหารและตกลงกันว่าจะพาเธอไปสมัครงานที่ไหนบ้าง  ส่วนหลานสาวทั้งสองต่างมีที่ทำงานเป็นของตนแล้ว
                สายวันนั้นน้าสะใภ้พาเธอไปสมัครงานที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง  เธอกรอกใบสมัครในตำแหน่งพนักงานพาร์ทไทม์ และผู้จัดการร้านบอกว่าจะติดต่อไปอีกที จากนั้นจึงไปดูลาดเลาที่โรงงานกระดาษ ทว่าทางบริษัทไม่รับพนักงานเพิ่ม ต่อมาจึงไปเดินห้างสรรพสินค้าในตัวอำเภอเพิ่มสำรวจตามร้านต่าง ๆ ที่ต้องการรับพนักงานเพิ่ม  ร้านแล้วร้านเล่าก็ต้องการนักศึกษาในพื้นที่ เธอจึงเริ่มถอดใจ  แต่เหมือนโชค
จะเข้าข้างเธอยู่บ้างที่ศูนย์การค้าภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น ต้องการพนักงานแคชเชียร์ เธอจึงลองไปสมัครดู และอีหรอบเดิมฝ่ายบุคคลบอกว่าจะติดต่อไปอีกที
                ณ ห้องนอนสามสาวยามค่ำคืน เธอปรับทุกข์กับหลานสาวที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ครั้งยังวัยเยาว์ หลานสาวทั้งสองต่างให้กำลังใจ เพราะถึงอย่างไรน้าก็ต้องหางานให้เธอทำจนได้ พอรุ่งเช้าร้านหนังสือติดต่อกลับมาให้เธอไปสอบสัมภาษณ์ตอนบ่ายสองวันจันทร์หรืออีกเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่จะถึงนี้   วันต่อมาศูนย์การค้าก็ติดต่อกลับมาหาเธอเช่นกันว่าให้เธอไปสอบสัมภาษณ์ในอีกสามวันที่จะถึงนี้เวลาบ่ายโมง
เธอดีใจที่ทั้งสองแห่งที่เธอสมัครไปติดต่อกลับมา แล้วนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับน้าทั้งสอง ซึ่งน้าบอกให้เธอตัดสินใจเอง เพราะที่แรกนั้นเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ส่วนอีกที่นั้นเป็นพนักงานประจำ
                หญิงสาวชั่งใจอยู่นานจึงตัดสินใจไปสอบสัมภาษณ์แห่งที่สอง เพราะวันนัดหมายมาถึงก่อน
เธอจึงรีบคว้าโอกาสไว้ก่อน  วันนัดหมายเธอแต่งตัวด้วยกางเกงเข้ารูป เสื้อโปโลสีขาว มัดผมอย่างเรียบร้อย โดยซ้อนท้ายรถจักรยายนต์น้าสาวไป รอพี่ฝ่ายบุคคลอยู่นาน พี่เขาแนะนำตัวว่าชื่อพี่หน่องเป็นผู้จัดการแผนกแคชเชียร์ และเป็นรองผู้จัดการร้านด้วย อันดับแรกให้ทำข้อสอบข้อเขียน มีกระดาษทดให้ ห้ามใช้เครื่องคิดเลขเด็ดขาด เธอขาดไปแค่หนึ่งคะแนนก็จะได้คะแนนเต็ม ต่อมาสัมภาษณ์คิดเลขในใจ เธอตอบถูกบ้างผิดบ้าง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ จากนั้นคำถามไม้ตาย
                                “คุณมีข้อดีกว่าคนอื่นตรงไหน ทำไมเราจึงต้อองเลือกคุณ และข้อเสียของคุณคืออะไร สามารถแก้ไขได้หรือไม่
                เอาแล้วไงล่ะว่าแล้วคำถามนี้ต้องมาดังที่เธอเคยคิดไว้ไม่มีผิด เธอตั้งสตินิดหนึ่งก่อนตอบ                                                “ข้อดีของหนูคือเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริงค่ะ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการเป็นแคชเชียร์มาก
ส่วนข้อเสียคือหนูเป็นคนใจร้อนค่ะ แต่หนูคิดว่าหนูสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ด้วยวัยที่โตขึ้น
                จากนั้นพี่หน่องจึงบอกให้เธอไปตรวจสุขภาพที่โรงบาลในระบบของบริษัทในวันพรุ่งนี้ และนำผลตรวจมาส่ง วันถัดไปก็มาทำงานได้เลย
                เมื่อกลับถึงบ้านเธอดีใจมากที่ได้งานทำ แม้จะเจอกับอุปสรรคปัญหาใดใด เธอจะไม่ย่อท้อ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่จึงต้องทำให้ดีที่สุด วันต่อมาเธอจึงไปตรวจสุขภาพ และส่งผลตรวจให้กับพี่หน่องในตอนบ่าย  พี่หน่องบอกว่าพรุ่งนี้ให้เธอมาถึงที่นี่ก่อนบ่ายโมง รอที่ออฟฟิศก่อน เธอจึงรับคำแล้วลากลับ

                การทำงานในช่วงสามสี่วันแรก เธอต้องช่วยรุ่นพี่ใส่ถุงก่อน ซึ่งรุ่นพี่ที่สอนงานก็ใจดี บอกโน่นเล่านี่ให้เธอฟังเสมอ พอกลับถึงบ้านทายาหม่องตามร่างกาย แต่ถึงกระนั้นอาการปวดตามแขนขาก็ยังไม่ทุเลาลง การทำงานครั้งนี้ทำให้เธอรู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งพี่กาย หัวหน้าแผนกผักและผลไม้   ไนท์เด็กหนุ่มวัยยี่สิบ พนักงานแคชเชียร์  ติสท์ เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี พนักงานแผนกโฮม และพี่นาว พี่สาวแสนดี

                วันแรกที่ได้ลงเครื่อง หลังจากหยุดพักไปหนึ่งวัน หญิงสาวก็ต้องแปลกใจที่พี่กาย เป็นคนเหนือ หัวหน้าแผนกผักและผลไม้ที่ทักเธอ ขณะที่เธอกำลังเอาเงินใส่เก๊ะ และเขากำลังใส่ถุงช่วยพี่แคชเชียร์อีกคน
ที่เข้ากะเช้า
                                อ้าว มาไม่ให้สุ้มให้เสียงพี่ตกใจหมดเลย
                เธองงงวยเล็กน้อย ก่อนตอบไปว่า
                                ถ้าหนูมา หนูต้องส่งเสียงเหรอคะ
                พี่เขาเลยไม่สนใจที่จะถามต่อ แน่ล่ะใครจะกล้าก็เธอเป็นคนตรง ๆ นี่นา  แถมยังพูดแรง และขวานผ่าซากอีกต่างหาก แต่พี่กายก็แวะเวียนมาช่วยใส่ถุงให้เธอเสมอ เมื่อเห็นว่าลูกค้ามีจำนวนมาก บางครั้งหากเธอสแกนรายการสินค้าผิดก็ได้พี่กายนี่แหละช่วย Delete ออกให้โดยไม่ต้องโทรบอกจุดบริการให้เรียกหาซีเนียร์หรือดิวตี้ให้ยุ่งยาก หรือสินค้ามีปัญหาพี่เขาก็จัดการให้โดยง่าย เธอจึงสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ เธอไม่ค่อยให้ความเคารพพี่กายอย่างที่ควรจะเป็น แม้เขาจะเป็นรองผู้จัดการก็ตาม เพราะด้วยความที่พี่เขาพูดหยอกล้อเธอเสมอ และการเจอกันครั้งแรก เธอนึกว่าพี่เขาเป็นพนักงานขายยาซะได้ ก็ใครให้พี่แกสวมชุดสีขาวเหล่า เธอเลยเข้าใจผิดเป็นธรรมดา
               
                วันแรกที่เธอได้พบกับไนท์คือวันแรกที่เธอมาทำงาน เขาเป็นคนใต้ และมีท่าทีสนใจเธอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังแนะนำตัวทันทีที่เธอไปถึง โดยไม่ต้องเอ่ยถามเขาให้เสียเวลา แต่ไนท์ก็มีข้อดีที่เขาเป็นคนมีน้ำใจ คอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานเสมอ บางครั้งเธอเห็นเขาเข้าไปช่วยงานที่ออฟฟิศเสมอ เขามักบอกเธอว่าจะไปไหนมาไหนเสมอ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน วันนี้ก็เช่นกัน
                                พิม ไนท์ไปช่วยงานพี่หน่องที่ออฟฟิศก่อนนะ
                เธอจึงตอบไปว่า จ๊ะเพราะไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร นอกจากรับรู้เรื่องที่เขาต้องการสื่อ
                วันหนึ่งพิมกับไนท์พักทานอาหารพร้อมกัน จะไม่ให้พักพร้อมกันได้อย่างไรเล่า ก็เขาเล่นถามเธอว่าจะพักเวลาไหน จะได้พักพร้อมกัน จึงทำให้ต้องได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกันไปโดนปริยาย ดีที่มีพี่ซีเนียร์อีกคนมาทานด้วยกัน ไม่เช่นนั้นหญิงสาวคงอึดอัดเป็นแน่ ไนท์คอยถามเสมอว่าเธออยากกินอะไร เพราะหากเธอเอ่ยปากเขาก็จะหามาให้ในทันที ทั้ง ๆ ที่เธอไม่อยากกินแต่พี่ที่มาด้วยอยากกินน้ำแข็งใส เธอจึงบอกไนท์ว่าเธออยากเห็นน้ำแข็งใส เขาจึงซื้อมาให้ และนั่งจ้องหญิงสาวขณะกินน้ำแข็งใส ..โรคจิตหรือเปล่าผู้ชายคนนี้..เธอคิด

                สายวันหนึ่ง เธอต้องเดินไปที่วินรถมอเตอร์ไซด์เพื่อขึ้นรถเนื่องจากน้าของเธอไปธุระ เธอเดินออกจากบ้าน  ข้ามถนนได้ไม่นานก็มีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งมาบีบแตรให้ เธอจึงหยุดเดิน ชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางมีเสน่ห์เหลือล้นหันมาถามเธอว่า
                                น้องไปทำงานเหรอ
                                เธอตอบไปว่า ใช่ค่ะ
                                และเขาก็ถามเธออีกว่า ไปด้วยกันไหม
                เธอเป็นผู้หญิงจะให้ตอบไปเลยก็แลดูใจง่ายไป เลยได้แต่พยักหน้า และก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถ
ชายหนุ่มท่าทางใจดีคนนั้นไป และกล่าวขอบคุณเขาเมื่อถึงที่ทำงานแล้ว
                ต่อมาเธอจึงรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นชื่อพี่นนท์ พนักงานแผนก Food  และมีแฟนสาวหน้าสวยเป็นพีซีคนอร์ เธอจึงไม่กล้าคิดอะไรเกินกว่าพี่ชายใจดี เพราะเกรงกลัวแฟนสาวของเขาจะมาแหกอกเอาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีเรื่องให้ต้องรบกวนพี่นนท์เสมอ เพราะเธอมักหาที่เก็บสินค้าไม่เจอ แล้วพี่เขาทำงานอยู่แถวนั้นจึงต้องสอบถามจากพี่เขาเพื่อความถูกต้องของตำแหน่งสินค้า และพี่เขาจัดสินค้าอยู่เป็นประจำ

                ติสท์ พนักงานแผนกโฮม เธอรู้จักเขาสองเดือนให้หลัง เพราะเด็กหนุ่มพึ่งเข้ามาทำงาน อีกทั้งเขาเป็นคนภาคอีสานเช่นกัน ทำให้พูดจาถูกคอกัน  เขามักถูกพี่หน่องไหว้วานให้นำสินค้าไปเก็บที่ล็อกเสมอ เนื่องจากเขาต้องจดจำตำแหน่งของสินค้าให้แม่นยำเพื่อความสะดวกในการทำงานของเขา และนั่นทำให้เธอพบเขาเสมอ เพราะมีสินค้าที่เครื่องแคชเชียร์ของเธอตกค้างอยู่เป็นประจำ

                พี่นาว หญิงสาววัยยี่สิบแปดปี เกิดที่กรุงเทพฯ นามสกุลของพี่นาวเหมือนกับนางเอกละครช่องสามไม่มีผิดเพี้ยน เธอเป็นพี่สาวที่สนิทสนมกับพิม เพราะมักได้พักทานอาหารในเวลาที่ตรงกัน ด้วยวัยที่ไม่ห่างกันมากนักทำให้สองสาวพูดจาถูกคอกันและไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ต่างคนต่างปรับทุกข์ให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่ปิดบังกันแม้แต่น้อย  พี่นาวมีครอบครัวแล้ว มีลูกสาวหน้าตาน่ารักสองคน คนโตอยู่ปอสี่ ส่วนคนเล็กอยู่อนุบาลสามซึ่งเป็นลูกของพี่นาวกับสามีคนแรก  ตอนนี้เธออยู่กินกับสามีคนที่สอง ซึ่งเป็นคนภาคอีสานเช่นเดียวกับพิม
                               
                ชีวิตในการทำงานเป็นแคชเชียร์ของศูนย์การค้าแห่งนี้ ทำให้เธอได้เรียนรู้เรื่องผู้ชายเพิ่มมากขึ้น เพราะเธอไม่ค่อยมีเพื่อนต่างเพศมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่กายที่คอยมาช่วยใส่ถุงเสมอ เธอมักทำท่าทีสีหน้าตกใจทุกครั้งที่พบพี่กายในตอนแรกที่พบกัน เขามักนำผลไม้ในแผนกมาให้เธอชิมอยู่เสมอ วันหนึ่งเธอเอ่ยปากขอชิมสตอเบอรี่บ้าง แต่เขาก็ปฏิเสธ เพราะราคาแพงที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมด เธอได้ยินแว่ว ๆ มาว่า เขามีลูกสาวอยู่ปอสี่ ซึ่งเธอเคยพบแล้ว ดูท่าทางเรียบร้อยมาก และพูดช้าจนอยากจะพูดแทน อีกทั้งเขาเป็นคนเจ้าชู้ มีความต้องการมาก คงไม่ต้องให้อธิบายนะว่าต้องการอะไร มีเพื่อนพนักงานเคยถามเธอสองสามคนว่าพี่กายมาจีบพิมเหรอ แต่เธอกลับตอบปฏิเสธไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง

                ด้านไนท์ก็เทียวมาหยอดคำหวานให้พิมเสมอ แต่เธอไม่หลงกลหรอก กลับพูดกวนเขาคืน จนอีกฝ่ายพูดไม่ออกไปเลย  แต่เขาก็ไม่ละความพยายามมักซื้ออาหารการกินมาบำรุงเธอเสมอ ทั้งขนม น้ำ หนักสุดคงเป็นพิซซ่ากับไก่ KFC ที่แลดูเงินในกระเป๋าพร่องไปพอสมควร เธอก็เผื่อแผ่ให้เพื่อนร่วมงานเป็นประจำ ใกล้วันหยุดหากตรงกันเขามักชวนเธอไปดูหนัง แต่เธอก็ปฏิเสธทุกครั้งไป ช่วงหลังมาเธอเริ่มไว้ใจเขามากขึ้นให้ไปส่งที่บ้าน แต่ก็เพียงสี่ห้าครั้งเท่านั้น เพราะน้าเตือนว่าไม่ควรกลับกับผู้ชายดึก ๆ ดื่น เพราะเธอเลิกงานสี่ทุ่ม หากเลิกงานให้โทรหาน้า ไม่ต้องไปรบกวนเขาหรอกมันไม่งาม ซึ่งหล่อนก็ทำตามความต้องการของน้าที่เตือนด้วยความหวังดี เนื่องจากมีวันหนึ่งที่เขาเมาแล้วยังชวนหล่อนกลับบ้านด้วย เห็นสายตาที่หวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ของเขาแล้ว เธอจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ไม่ขอกลับบ้านกับเขาอีกเลย
                               
                ส่วนติสท์ เธอมีโอกาสได้ไปดูหนังกับเขาถึงสองครั้ง ครั้งแรกไปกับพี่นาว แฟนพี่นาว และติสท์ อันที่จริงพี่แก้ว พี่สาวอีกคนว่าจะไปดูด้วยกันในตอนแรกแต่ถูกพี่หน่องขอร้องแกมบังคับให้ทำโอที  ติสท์ซึ่งเลิกงานไปก่อนอยากดูเรื่องนี้เช่นกันจึงมาซื้อบัตรต่อ หนังเรื่องนั้นสนุกมากแต่ใช้เวลานานกว่าจะจบเรื่อง ส่งผลให้พิมปวดท้องจนดูหนังอย่างไม่เป็นสุข เพราะปวดฉี่ พอหนังจบจึงแยกย้ายกันกลับ พี่นาวกับแฟนอาสาไปส่งพิมที่บ้านเพราะเป็นทางผ่าน ส่วนติสท์เดินกลับเพราะเขาไม่มีรถ อีกทั้งที่พักอยู่คนละทาง  ครั้งที่สองเธอไปดูหนังรักกับติสท์ เขาบอกว่าไม่ค่อยสนุก พอหนังจบเลยแวะไปที่ทำงาน
                พอไนท์เห็นว่าติสท์เดินมากับพิมจึงถามพิมว่า วันหยุดไปดูหนังกันมาเหรอ ทีไนท์ชวนไม่เห็นไปดูบ้างเลย
                เธอจึงตอบไปว่า ใช่ ไปดูหนังกันมา ก็ไม่มีเรื่องที่สนใจนี่นา
                เขาพูดพร้อมกับแสดงอาการโกรธว่า เป็นแฟนกันเหรอ
                เธอตอบในทันทีว่า ไม่ใช่ เป็นเพื่อนกัน
                เขาพูดอีกประโยคว่า โกรธแล้ว ต่อไปนี้จะไม่คุยกับพิมแล้ว
                เธอบอกเขาไปว่า เชิญเลยตามสบายพูดจบก็เดินไปร้านอาหาร พร้อมกับติสท์ที่เดินตามเธอไป ต่างคนต่างทานอาหาร เธออยากชวนเด็กหนุ่มคุย แต่ดูเหมือนเขาให้ความสนใจมือถือมากกว่าเธอ พอทานอาหารเสร็จเธอจึงขอตัวกลับทันที
               
                ชีวิตการทำงานของพิมดำเนินไปตามปกติวิถี มีพี่กายมาช่วยใส่ถุงและเอาผลไม้มาฝาก ซึ่งเธอก็เผื่อแผ่ให้เพื่อนร่วมงานอีกตามเคย  ไนท์ที่เทียวหยอดคำหวาน เอาขนมมาฝากเธอเสมอ  ติสท์ที่พูดคุยกันทางไลน์เป็นประจำ หากเจอหน้ากันก็พูดคุยประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนกันมากกว่าพี่สาวน้องชาย  พี่นาวที่ทานอาหารด้วยกันเสมอ คอยพูดคุยปรึกษาเรื่องราวปัญหาการใช้ชีวิตประหนึ่งคนในครอบครัว
               
                ช่วงใกล้ออกจากงานเพื่อไปเรียนหนังสือ ทำให้พิมตีห่างจากทุกคน เธอมักไปทานอาหารคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว เพราะเกรงว่าจะร้องไห้ออกมาให้ใครเห็นด้วยความคิดถึงภาพบรรยากาศเก่า ๆ
ที่เคยทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งเพื่อนร่วมงานจะได้สบายหูสบายตาที่ไม่มีใครพูดจากวนโอ๊ย ทำหน้าตา
กวนโอ๊ยหรือทำตัวรั่วให้พลอยหัวเสีย

                ก่อนพิมจะออกจากงาน พี่หน่องได้เลี้ยงส่งพิมที่บ้านของพี่หน่องเอง จัดเตรียมเนื้อย่างหลายกิโลกรัมให้เหล่าเพื่อนร่วมงาน  เครื่องดื่มพร้อมสรรพ  ทำให้พิมยิ้มแก้มปริด้วยความดีใจ เธอมีความสุขที่ตัดสินใจมาทำงานที่ศูนย์การค้าแห่งนี้ ได้ทำงานร่วมกับคนเหล่านี้ แม้ว่าเธอจะพูดจากวนโอ๊ย ทำหน้าตาท่าทางบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนคนสติไม่เต็มเต็ง ไม่ค่อยให้ความเคารพหัวหน้าอย่างที่ทุกคนทำ แต่เธอก็ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสซึ่งเป็นข้อดีของเธอดังที่เคยตอบข้อคำถามของพี่หน่องไป  ทำให้คนรอบข้างพลอยมีความสุขกับเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของเธอที่แสดงว่าเป็นคนเปิดเผยอย่างเห็นได้ชัด และชื่นชมกับการไหว้รุ่นพี่ของเธอที่แสดงถึงความมีสัมมาคารวะ

                วันสุดท้ายของการทำงาน เธอได้รับของขวัญจากพี่จุ๊ หัวหน้าแผนกเลลิก้า (แผนกทำอาหาร) เป็นสมุดโน้ตกับเครื่องคิดเลข รุ่นพี่แคชเชียร์สามคนที่สอนงานตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานใหม่ ๆ มีพี่วารีเป็นตุ๊กตาหมี  พี่กิ่ง เป็นตุ๊กตาเต่า พี่กิ่งบอกว่าเหมือนพิมมาก หมายถึงทำงานช้าสินะ  พี่กอย ขนม m&m  และพี่กาย เป็นจี้พระ กับเซ็ตปากกา ดินสอมียี่ห้อ อยากถามพี่กายนะว่าเหตุใดคนอื่นได้ขนม แต่เธอกลับได้วัตถุมงคลกับเครื่องเขียน
                ถึงเวลาเลิกงาน พิมเข้าไปล่ำลาทุกคนและมิวายกอดพี่หน่อง หัวหน้าที่เธอเคารพรักดุจพี่สาว พอเดินออกจากประตูได้ไม่นานเธอก็ต้องแปลกใจที่พี่กายมารอเธออยู่ก่อนแล้ว และอีกด้านหนึ่งไนท์เองก็รอเธอเช่นกัน ทั้งสองคนขอคบกับเธอในฐานะคนรัก วินาทีนั้นเธอทั้งตื่นเต้น ตกใจ สับสน งงงวยกับท่าทีของเขาทั้งสอง แต่เธอก็ปฏิเสธชายทั้งสองคนไป เพราะเธอไม่ต้องการผูกพันกับใครในตอนนี้ซึ่งเธอไม่ได้บอกเหตุผลให้ทั้งสองรับรู้หรอก  ไนท์จึงขอไปส่งเธอที่บ้าน เธอยืนยันจะกลับเองเพราะโทรบอกน้าเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวท่านจะรอนาน ชายสองคนจึงยกย้ายกันกลับด้วยสีหน้ามาสู้จะดีนัก

                นึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อครั้งเธอไปทำงานยาวนานสี่ห้าเดือนขึ้นมาทีไร ทำให้เธอมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน แม้จะมีเรื่องดีบ้างร้ายบ้าง แต่เธอคิดเสียว่ามันเป็นประสบการณ์ เป็นบทเรียนให้กับชีวิต มันทำให้เธอได้พบกับมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับพี่นาวที่บัดนี้ก็ยังพูดคุยกันทางไลน์อยู่เสมอ รวมทั้งติสท์ที่เธอพูดคุยกับเขาทางไลน์เช่นกันในฐานะเพื่อน ทั้ง ๆ ที่เธอเกิดก่อนเขาตั้งสามปีแท้ ๆ จริง ๆ แล้วที่เธอปฏิเสธพี่กายกับไนท์ไปนั้น นั่นเพราะเธอไม่ได้ชอบผู้ชายต่างหาก  เธอล้อเล่น  เธอยังคงคิดถึงเจ้าของสายตาคู่งามที่เคยสบตากันเนิ่นนาน ผู้เป็นเจ้าของรักแรกของเธอต่างหาก  แต่เธอก็เลือกที่จะใช้ความรักในทางที่ถูกต้องนะแม้ว่ามันจะไม่ถูกใจใครก็ตาม


                                                                                                                                                                ..อ้ายจุน..

 นางสาวปรียาภรณ์   โนนแก้ว
รหัสนักศึกษา ๕๔๓๔๑๐๐๑๐๓๐๗
คณะครุศาสตร์   สาขาวิชาภาษาไทย
ชั้นปีที่ ๔   หมู่ ๓   เลขที่ ๗
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น