วิเคราะห์เรื่องสั้นหวังว่าประชาชนคงเข้าใจ
นักเขียนได้สร้างสรรค์ผลงานทางวรรณกรรมไว้หลายหลายรูปแบบ ทั้งกวีนิพนธ์
นวนิยาย
รวมถึงเรื่องสั้นตามแต่ความถนัด ความสนใจ
ความนิยมส่วนบุคคล หรือหากต้องการเปลี่ยนแนว
การเขียนบ้างก็คงไม่ผิดประการใด ซึ่งต่างคนต่างมีความอิสระในการเรียงร้อยถ้อยคำผ่านทางตัวอักษร
เพื่อนำเสนอแนวคิด
จินตนาการที่ถ่ายทอดผ่านทางเรื่องราวให้ออกสู่สายตาสาธารณชนบนเส้นทาง
สายวรรณกรรม
เรื่องสั้น เรื่อง หวังว่าประชาชนคงเข้าใจ
เป็นอีกหนึ่งผลงานทางด้านวรรณกรรมที่ได้รับการนำเสนอผ่านทางงานเขียนของทัศนาวดี หรือ
ผศ. สุทัศน์ วงศ์กระบากถาวร ผู้เขียนเลือกที่จะเปิดเปลือยปัญหาที่เกิดขึ้นกับชนบทบ้านนอกคอกนาที่สะท้อนถึงการล่มสลายทางวัฒนธรรมของชาติ
เรื่องสั้น เรื่อง หวังว่าประชาชนคงเข้าใจ
ของทัศนาวดี ประกอบด้วยเรื่องสั้น จำนวน ๑๓ เรื่อง ได้แก่ ๑. จึงเรียนมาเพื่อทราบ ๒. ข้างหอนาฬิกา ๓. จากดอนลำดวนถึงสวนอัมพร ๔. นางละคร
๕.
นอนสาหล่า ๖. สมภารระดับ ๘ ๗. เสื่อม
๘. ทศนิยมไม่รู้จบ ๙. เสาหลัก ๑๐. เจ้าหน้าที่
๑๑. โอ๊ะ! แพรวา ๑๒. บ่ม
และ ๑๓. หวังว่าประชาชนคงเข้าใจ ซึ่งจะนำเสนอเป็นเรื่องไป
๑. จึงเรียนมาเพื่อทราบ
๑) โครงเรื่อง
สาหัส
หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบ เป็นคนบ้าผู้น่ารัก ไม่มีพิษสงกับใคร ชอบฟังข่าวจากวิทยุคู่กาย
แกอาศัยอยู่ในวัด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทุกคนในหมู่บ้านคุ้นชิน คือ “จึงเรียนมาเพื่อทราบ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ” หากมีใครสนใจใคร่รู้
เขาจะสรุปข่าวประจำวันที่อยู่ในความสนใจให้ฟังสั้น ๆ
แอนนา-พัชราภา หรือชื่อเดิมคำหล้า-บังอร เด็กสาวชาวเหนือ
เข้ามาศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่เมืองหลวง เพื่ออยากลบลืมอดีตที่บ้าน
โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มตอนเรียนมัธยมปลาย ความอ่อนหัด ไม่จัดเจนต่อโลก
ทำให้เผลอตั้งท้องทำ และทำแท้งทันการ ทำให้พ่อแม่อับอายเลยส่งเธอมาเรียนต่อที่ไกล
ๆ
เมื่อเข้ามาศึกษาต่อแอนนาได้รับความช่วยเหลือจากหลวงน้าของวิไลพร ในเรื่องอาหารการกิน และเรื่องอื่น ๆ ชีวิตในเมืองกรุง ทำให้เธอมีความทะเยอทะยานเพิ่มมากขึ้น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเต็มใจเป็นแฟนเก็บของทนายความรุ่นพ่อ
เมื่อเข้ามาศึกษาต่อแอนนาได้รับความช่วยเหลือจากหลวงน้าของวิไลพร ในเรื่องอาหารการกิน และเรื่องอื่น ๆ ชีวิตในเมืองกรุง ทำให้เธอมีความทะเยอทะยานเพิ่มมากขึ้น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเต็มใจเป็นแฟนเก็บของทนายความรุ่นพ่อ
แอนนาไม่ชอบสาหัส
บางครั้งแกชอบนำเรื่องที่นักศึกษาสาว หอบข้าวของออกมาจากวัดไปเที่ยวเล่า
ถึงไม่มีใครถือสาหรือให้ความสำคัญแต่มันทำให้สาว ๆ อย่างพวกเธออารมณ์ขุ่น
คนบ้าอย่างแกมายุ่งอะไรด้วยเล่า
ป๋า ทนายความรุ่นพ่อ
มีภรรยาเป็นตัวเป็นตน ทว่าก็ยังให้การอุปถัมภ์เด็กสาวรุ่นลูกเช่นแอนนาอยู่เสมอ
หลวงน้า
ญาติของวิไลพร ให้ความช่วยเหลือแก่วิไลพร แอนนาและเพื่อน
โดยเฉพาะข้าวสารอาหารแห้งที่คนมาทำบุญ ประเภทมาม่า ปลากระป๋อง สบู่ ยาสีฟัน
ผงซักผ้า และอีกจิปาถะ แอนนามักมาปรึกษาเรื่องต่าง ๆ ด้วยเสมอ ไม่ชอบสาหัสเช่นเดียวกับแอนนา
นริศ
แฟนหนุ่มรุ่นพี่ของแอนนา เป็นคนรักแรง เกลียดแรง ยืมปืนมาจากเพื่อนหากถึงเวลาเขาต้องใช้มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
วันหนึ่งแอนนาเดินมากับเพื่อน
สวนทางกับสาหัสนึกสนุกจึงร้องถามสาหัสไปว่าอะไรอีกล่ะ แกตอบว่ากิ๊กยิงกิ๊ก ๆ ตายคาคอนโด ในซอยข้าง ๆ
สักวันมันจะมาถึงที่นี่
ทำให้แอนนาโมโห
พอหันไปสบตากับหลวงน้า เธอจึงยิ้มอย่างคนกร้านชีวิต
ภายในม่านรูด
หลังจากแอนนาทำภารกิจรักบนเตียงกับนริศ แฟนหนุ่มรุ่นพี่
ชายหนุ่มจึงบอกความต้องการว่าอยากไปที่ห้องเธอบ้าง แต่เธอก็บ่ายเบี่ยงไป
แอนนาโทรหาป๋าเพื่อบอกเรื่องการไปทำบุญในวันพรุ่งนี้ของเธอ
และป๋าจะโอนเงินให้เธอ แล้วเสาร์จะได้ไปพักผ่อนด้วยกัน หลังจากนั้น
เธอจึงโทรบอกนริศว่าเธอจะกลับไปดูแลแม่ที่ไม่สบาย
นริศจึงตัดสินใจว่าจะไปดูให้เห็นกับตาในคืนนี้
เช้าวันเข้าพรรษา
สาหัสก็ทำหน้าที่ของเขาตามปกติ จึงเรียนมาเพื่อทราบ จึงเรียนมาเพื่อทราบ คนขายล็อตเตอรี่จึงตามว่าเกิดอะไรขึ้น
ใครตายรึไง สาหัสตอบว่าไม่มีใครตายไม่มีใครตายทั้งนั้น มีแต่มรณภาพ
คนขายลอตเตอรี่สะดุ้งกับคำตอบที่ได้รับ แล้วส่ายหน้าไปมา คิดถึงใบหน้าเจ้าของนิทานในวงเหล้า
ซึ่งบัดนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงเรื่องสมมติอีกแล้ว
สาหัสเดินไปเรื่อย
พร้อมกับรู้สึกอยากได้ยินเสียงของใครอีกคน สุขัง พลัง สุขัง พลัง
๒) แก่นเรื่อง
ศีลธรรมที่ต่ำลงของผู้คน
ทำให้ผู้คนประพฤติผิดมากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องดีงาม
๓) ตัวละคร
แอนนา-พัชราภา ตัวละครหลักของเรื่อง
สาหัส มีถ้อยคำอันเป็นเอกลักษณ์
“จึงเรียนมาเพื่อทราบ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ”
ป๋า
ทนายความรุ่นพ่อ มีแอนนาเป็นแฟนเก็บ
หลวงน้า
ผู้ให้ความช่วยเหลือแอนนาอบู่เสมอ
นริศ
แฟนหนุ่มรุนพี่ของแอนนา เป็นคนรักแรงเกลียดแรง
คนขายล็อตเตอรี่ หากินอยู่แถววัด
๔) ฉากและสถานที่
ซอยข้างวัด เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในชุมชน
รวมทั้งแอนนาด้วย
วัด
สถานที่ทำบุญและมีกุฏิของหลวงน้า
ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือแอนนาอยู่เสมอ
ม่านรูด
สถานที่ทำภารกิจรักของแอนนากับนริศแฟนหนุ่ม
หอพัก เป็นที่อยู่อาศัยของแอนนา
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ใช้คำพูด
“สุขัง พลัง” เป็นตัวเปิดเรื่อง
ทำให้มีความน่าสนใจการติดตามเนื้อเรื่อง ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี
ดังตัวอย่าง
“…‘วันหลังไปที่หอแอนนะ
มานี่เปลืองโดยเช่นเหตุ’
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
‘โอ๊ะ...! ไม่ได้หรอก แอนเป็นผู้หญิงนะ เดี๋ยวคนเอาไปพูด
ในทางไม่ดี
เกิดพ่อแม่รู้เอาตายแน่เลย’ หล่อนทำท่าทีตกใจ
‘น่านะ
ไม่มีใครสนใจเรื่องของใครหรอก เพื่อนเขายังอยู่
เป็นคู่
ๆ เลย แอนอยู่คนเดียว กลัวอะไร บางครั้งบางคราวเท่านั้นเอง’
เขาตื้อ
‘ไม่ได้ ๆ
เดี๋ยวเพื่อนล้อ เอางี้ รอให้ขึ้นปีสี่ก่อนนะ
ออกฝึกงาน
ย้ายที่อยู่ให้ไกลมหา’ลัยหน่อย จะได้ไปรับส่งทุกวันเลย’
หล่อนต่อรองส่งสายตาออดอ้อน… ”
(ทัศนาวดี,
๒๕๕๔: ๒๗)
๒. ข้างหอนาฬิกา
๑) โครงเรื่อง
เวลาผ่านไป
ทำให้เมืองมหาสารคามมีความเจริญทางวัตถุ
นำพาความสะดวกสบายสารพัดรูปแบบเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของผู้คน
การศึกษาหาความรู้ลดความสำคัญลงไป
สถานภาพนักศึกษาของบางคนกลายเป็นเพียงสิ่งยึดเกาะ เพื่อถลุงเงินพ่อแม่ในยามค่ำคืน หรือ..ไม่เช่นนั้นก็เพื่อ..ผลอย่างอื่น แฟนหนุ่มรุ่นพี่ของสุดาพรมาส่งเธอที่หอพัก
และนัดแนะกันเพื่อไปดูคอนเสิร์ต
ป้าสาย
แม่ของสุดาพร หาเงินเลี้ยงดูลูก ด้วยการทำอาหารไปขายที่ตลาดสด ซึ่งได้อาศัยเพ็ญ
ญาติผู้น้องในการเดินทาง
นางทำกับข้าวในครัวแคบ ๆ มีหมกไข่ปลา หมกปลาซิว หมกไก่ แกงหน่อไม้
ต้มยำไก่บ้านเพื่อนำไปขาย
สุดาพรกลับมาที่หอพัก
พบกระดาษแผ่นหนึ่งติดไว้ ข้อความบนกระดาษ ทำให้เธออารมณ์เสีย
พอแฟนหนุ่มโทรมาเธอจึงอารมณ์ดีขึ้น
เนื่องจากมีนัดหมายที่จะเจอกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
หอนาฬิกาคึกคักเวลาตีสองตีสาม
ซึ่งเป็นเวลาที่ป้าสายกลับบ้าน และเวลาผับเลิก
นางนำน้อยหน่าที่ลูกสาวชอบมาด้วย
ได้เวลาเพ็ญจึงมาเรียกป้าสายเพื่อเดินทางกลับ มีขบวนรถเสียงดังใกล้เข้ามา
อาการเหน็ดเหนื่อยทำให้ป้าสายหน้ามืดมีเสียง ‘โอ๊ย!’ ตามมา
ได้ยินเสียงเพ็ญร้องว่า ‘ป้าสาย!
ช่วยด้วย..ป้าสายโดนรถชน’ และมีคนมาช่วยดูอาการของป้าสาย
ขบวนรถเหล่านั้นหายวับเข้าซอยไป
ด้านแฟนหนุ่มของสุดาพรก็โมโหให้แม่ค้าที่ตนเพิ่งชนมา
สุดาพรจึงปลอบใจ แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลอง
๒) แก่นเรื่อง
กระแสบริโภคนิยม
ทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไปในทางที่ไม่เหมาะสม
๓) ตัวละคร
สุดาพร ตัวละครหลักของเรื่อง
แฟนหนุ่มรุ่นพี่ของสุดาพร
ป้าสาย
แม่ของสุดาพร
เพ็ญ ญาติผู้น้องของป้าสาย
๔) ฉากและสถานที่
หอพักของสุดาพร
บ้านของป้าสาย
หอนาฬิกา
สถานที่เกิดเหตุรถชนป้าสาย
ตลาด
สถานที่ทำมาค้าขายของผู้คน รวมทั้งป้าสายด้วย
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเรียงตามลำดับปฏิทิน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“… ‘ไปลงนรกซะไอ้กระดาษหมา
ๆ’ สุดาพรกระชาก
กระดาษแผ่นนั้นออกจากกำแพงรั้วหน้าหอพัก
ขยุ้มเป็นก้อนกลม
แล้วขว้างออกไป
ไม่รู้ทิศทาง ก่อนกระแทกเท้าเข้าหอพัก... ”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๔๓)
“…‘แม่ง..อีแก่..เกือบทำรถเราล้ม
นี่ถ้าเกิดเป็นอะไรไป
พี่ไม่ยอมแน่
พวกแม่ค้าบ้านนอกเกะกะสิ้นดี’ เสียงอ้อแอ้
ในซอยหนึ่งดังขึ้น
‘ช่างหัวมันเถอะพี่
เราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว อย่าคิดให้มัน
อารมณ์ขุ่น
เดี๋ยวไม่ซาหนุกน้า..บอกให้’ เสียงตอบมา หยอด
คำหวานแบบคานยางในตอนท้ายจับน้ำเสียงได้ว่า
หญิงสาว
ก็ต้องอยู่ในอาการเดียวกันกับฝ่ายชาย’… ”
‘โอเคที่รัก ..ไม่ต้องอาบน้ำนะ เดี๋ยวพี่ไปล้างขาก่อน
เหนียวน้อยหน่า
ไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง’ เสียงหนุ่มเปลี่ยนเป็นอีก
อารมณ์
มือประคองร่างหญิงสาวคนรักไปที่ประตูวิมาน
‘น้อยหน่าอาราย..ไวนะเค้าง่วง..’
หล่อนอ้อแอ้ ปรือตา
มองผ่าน
ๆ ดึงเสื้อและกระโปรงสั้นจู๋ออกจากร่าง ก่อนทิ้งตัว
ลงบนเตียงหนานุ่ม
แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลอง...’’
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๔๘)
๓. จากดอนลำดวนถึงสวนอัมพร
๑) โครงเรื่อง
นางนั่งกอดเข่าอยู่นอกริมชาน
เหม่อสายตาไปยังดวงดาวไกลลิบ สามีของนางยังนอนเมาไม่ได้สติ ข้าวของวางระเกะระกะ
พลางคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นาน คือ
กิริยาอาการและคำพูดของลูกสาวที่แสดงความรู้สึกขยะแขยงนางและสามีของนาง
ซึ่งได้ชื่อว่าพ่อแม่ของลูก
น้ำตานางไหลนองหน้า..
เปล่าหรอกนางไม่ได้เสียดายเงินที่ได้จากการขายความตัวสุดท้าย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกสาวในวันอันสำคัญนี้แต่..
นางเสียดายความเป็นลูกที่เฝ้าฟูมฟักมายี่สิบกว่าปีนั่นต่างหาก
นางและสามี
เช่าชุดผ้าไหมมาจากร้านเพื่อไปงานรับปริญญาของลูกสาว เข้าร้านเสริมสวยซอยผมย้อมผม
ใช้ฟางข้าวชุบน้ำถูส้นเท้าเพื่อลบเลือนรอยแตกไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการใส่ถุงน่อง
นางอิ่มอกอิ่มใจ เมื่อวาดภาพถึงวันแห่งความสำเร็จของลูกสาว
ทว่าบัดนี้นางกลับหมดอาลัย สุดเสียดายทั้งควายทั้งลูก
รถหกล้อเก่ากลางใหม่ของนายฮ้อยมารับควาย
นางจึงต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมกับรับเงินจากนายฮ้อย
นางแลเห็นสายตาหม่นเศร้าของสามีที่มีต่อควายคู่ทุกข์คู่ยาก
ฝ่ายลูกสาว
เมื่อคนรักโทรมาก็ยิ้มระรื่น เมื่อชายคนรักถามถึงพ่อแม่ เธอกลับโกหกว่าพ่อป่วย
หมอนัด แม่ต้องดูแล ทำให้มาร่วมงานวันรับปริญญาไม่ได้
พอเห็นหน้ากันไม่ทันวางกระเป๋า
ลูกสาวก็รีบทวงเงินทันที ขณะนั้นนางกำลังจับถุงน่องคาอยู่ตรงกลางนอกชาน
ถุงชุดไหมที่เช่าวางอยู่ข้างตัว นางยิ้ม
ควักเงินในถุงพลาสติกที่เหน็บไว้ในชายพกยื่นขึ้นให้ ลูกสาวคว้าหมับ ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณและรอยยิ้มใด
ๆ
นางเตรียมตัวไปพร้อมกับลูกสาว
แต่เธอกลับบอกว่า ‘หนูไปคนเดียวได้ พ่อกับแม่ไม่ต้องไปหรอก มันอายเค้า ดูสิ..สารรูปอย่างนี้
ใครจะไปรับได้’ …‘พ่อกับแม่ไม่ต้องถ่อสังขารไปหรอก
เดี๋ยวไปเงอะ ๆ งะ ๆ รถจะชนเอา เป็นอะไรไปจะยุ่ง’
เกินความควบคุม – น้ำนางไหลพรากลงรดถุงน่อง
ส่วนสามีที่ได้ยินคำพูดลูกสาวตลอด แกก็ยังคงนอนสูบบุหรี่
ปล่อยสายตาเหม่อลอยให้เคว้งคว้างไปอย่างไร้จุดหมาย
ดึกแล้ว
นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สามีของนางขยับตัวไปมาในความมืด
นางคิดน้อยใจลูกสาวที่ส่งให้เรียนสูง ๆ แต่สังคมเมืองหลวง
ทำให้เปลี่ยนแปลงลูกสาวจนเสียผู้เสียคน พลางคิดไปว่าเงินเป็นหมื่นที่ขายควายได้คงทำให้ลูกไม่น้อยหน้าใครและอยากบอกลูกว่าถ่ายรูปมาให้แม่ดูเยอะ
ๆ นะลูก จากนั้นจึงนำผ้าห่มมาห่มร่างคู่ชีวิต แล้วเดินลงบันไดเพื่อเก็บถ้วยชาม
๒) แก่นเรื่อง
ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
ทำให้จิตใจของคนเปลี่ยนไปด้วย เช่นลูกสาวของนางที่เปลี่ยนไป
๓) ตัวละคร
ลูกสาว ตัวละครหลักของเรื่อง
แม่ ตัวละครหลักของเรื่อง
พ่อ
แฟนของลูก
๔) ฉากและสถานที่
บ้าน
หอพักของลูกสาว
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี
ดังตัวอย่าง
“...ดึกแล้ว กลางห้วงทุกข์แห่งคำนึง นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
สามีของนางขยับตัวไปมาในความมืด
พอบอกให้รู้ว่ายังมีลมหายใจอยู่
บัดนี้คอกควายที่ใต้ถุนว่างเปล่า
มันจากไปเหมือนกับความหวัง
ในตัวลูกสาว
จากไปทั้ง ๆ ที่มันไม่อยากจาก ผิดกับคนที่มันลากไถ
ส่งไปเรียน
ซึ่งถ้าตัดขาดได้จากที่นี่เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หรือเปลี่ยนพ่อ
เลือกแม่ใหม่ได้คงสมใจบัณฑิตคนสวย
คิดมาแล้วน้อยใจนัก..ลูกเอ๋ย..อุตส่าห์ส่งให้ร่ำเรียนสูง
ๆ
ทนอดมื้อกินมื้อเพื่อรอคอยวันที่ลูกพบกับความสำเร็จ
หวังใจจะได้
ร่วมชื่นชมบ้าง
นางไม่นึกเลยว่า การใช้ชีวิตในเมืองหลวง การได้รับ
การศึกษาดี
ๆจะเปลี่ยนแปลงลูกสาวตัวเองจนเสียผู้เสียคนเช่นนี้”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๕๙)
๔. นางละคร
๑) โครงเรื่อง
๑.
สาวน้อยได้มาทำงานที่บ้านของนางเอกวัยรุ่นชื่อดังแพรี่
เพราะน้าวรรณแม่ของแพรี่เป็นญาติห่าง ๆ เคยเป็นเพื่อนเล่นกับแม่มาตั้งแต่เด็ก เธอได้โทรศัพท์จากดาราสาวในราคาหนึ่งพันบาท
จากราคาเป็นหมื่นมีลูกเล่นมากมาย ถ่ายรูปถ่ายคลิปได้
ใกล้วันแม่เข้ามาทุกที
สองวันก่อนเธอส่งเงินให้แม่พร้อมเสื้อปีมหามงคล และการ์ดดอกมะลิ
ตั้งแต่เป็นคนรับใช้บ้านหลังนี้ วันแรกก็ถูกกำชับจากดาราสาวว่าห้ามนำเรื่องภายในบ้านไปพูดเด็ดขาด
ไม่งั้นจะไล่ออก ยึดที่นาซึ่งแม่จำนองเอาไว้
และจะประจานทางสื่อจนอยู่ในสังคมไม่ได้ หล่อนงงแต่ก็รับคำเสียงสั่น
๒.
น้าวรรณนั่งดูละครที่ลูกสาวของตนแสดง
พร้อมกับคิดถึงความแตกต่างของตัวตนที่แท้จริงกับตัวละคร นางเอกเป็นคนดีมีคุณธรรม
เรียบร้อยอ่อนโยน ไม่อาฆาตพยาบาท
มีความกตัญญูต่อแม่อย่างน่าสรรเสริญและน่าเอาเป็นแบบอย่าง
แตกต่างจากชีวิตจริงจริงที่เอาแต่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน กลับบ้านดึก
พูดคำหยาบต่าง ๆ นานา
๓.
เพื่อนของแพรี่มาส่งเธอที่รถ พร้อมกับบอกให้ขับรถดี ๆ อารมณ์ของเธอบูดบึ้งประทุขึ้นจนเกินระงับ
ไปเรียนก็โดนว่า เข้าผับก็เกือบมีเรื่อง มาถึงบ้านก็อารมณ์เสีย ลงรถได้
ดาราสาวก็รีบโซเซเข้าบ้าน กระชากประตูแล้วผลักคืนดังปัง! จากนั้นก็กระแทกเท้าขึ้นบ้าน
ทิ้งเสียงบ่นไว้ตรงบันได
๔. “คลิปฉาว
ดาราสาววัยรุ่นตบแม่ทรุดคาบันได”
หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่
ฉบับเช้าวันที่ ๙ สิงหาคม พาดหัวข้อข่าวหน้าหนึ่งเด่นหรา
ดาราสาวเก็บตัวเงียบสองวันเต็ม จนถึงเช้าวันที่ ๑๑
สิงหาคมมีการแถลงข่าวที่สถานีโทรทัศน์ช่องที่มีสัญญาในการแสดงละคร
วันนี้ดาราสาวมาในชุดนักศึกษา
หล่อนนั่งลงเก้าอี้ตัวกลาง ด้านซ้ายมือเป็นแม่ ถัดไปคือผู้จัดการส่วนตัว
ส่วนขวามือเป็นพิธีกรและสาวใช้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ได้ความว่าเธอซ้อมบทกับแม่
แล้วสาวใช้ถ่ายคลิปไว้เปรียบเทียบไว้อวดแม่กับเวลาแสดงจริงในละคร
แต่เธอลืมโทรศัพท์ไว้โต๊ะเรียน และขอโทษทุกคน จากนั้นแพรี่จึงนำดอกมะลิมามอบให้แม่
แล้วกราบลงแทบตัก
๕. พอกลับถึงบ้าน
ดาราสาวทำร้ายร่างกายสาวใช้ พร้อมกับไล่ออกจากบ้าน
ทั้งที่ก่อนหน้านี้สองแม่ลูกเกลี้ยมกล่อมให้หล่อนร่วมมือด้วย
สาวน้อยจึงรู้ว่าตกเป็นเครื่องมือของสองแม่ลูกเสียแล้ว เธอออกจากบ้านอย่างไร้จุดหมาย
เพราะแม่ของเธอก็ตัดเยื่อใยจากเธอโดยสิ้นเชิง แล้วเด็กบ้านนอกอ่อนต่อโลกอย่างหล่อน
จะไปอย่างไร
๖.
ใกล้วันใหม่เข้ามาทุกที ไม่มีใครหยุดซักถามสาวน้อยให้เสียเวลา ฝนลงเม็ดหนักขึ้น ๆ
ร่างนั้นยืนนิ่ง เหมือนไร้ความรู้สึกต่อพายุฝน
แต่..ในชั่วพริบตาที่ฟ้าส่องแสงแปลบปลาบ..คลับคล้ายว่าร่างนั้นกำลังขยับเขยื้อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
อะไรสักอย่างที่ถือเป็นเรื่องปกติของยุคสมัย..
๒) แก่นเรื่อง
ศีลธรรมที่ต่ำลงของคน
ทำให้ทะเยอทะยาน จนไม่เห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน
คิดแต่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว
๓) ตัวละคร
สาวน้อย ตัวละครหลักของเรื่อง
แพรี่
ตัวละครหลักของเรื่อง
น้าวรรณ
ตัวละครหลักของเรื่อง
แม่ของสาวน้อย
ผู้จัดการของแพรี่
เพื่อนของแพรี่
๔) ฉากและสถานที่
บ้านของแพรี่
โรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่
สถานีโทรทัศน์
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเรียงตามลำดับปฏิทิน โดยมีตัวเลข ๑-๖ เป็นตัวกำกับเรื่องราวในแต่ละฉาก
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ภาษาที่ใช้ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวละคร
และคำได้อย่างชัดเจน ดังตัวอย่าง
“๒.
หล่อนนั่งดูละครเรื่องที่ลูกสาวแสดงเป็นนางเอกจน
จบตอนไปอีกวัน
นางเอกเป็นคนดีมีคุณธรรม เรียบร้อยอ่อนโยน
ไม่อาฆาตพยาบาท
มีความกตัญญูต่อแม่อย่างน่าสรรเสริญและ
น่าเอาเป็นแบบอย่าง
..ขณะดูลูกแสดง..บางครั้งหน้าตาหล่อน
เศร้าหมอง
พอละครจบแล้วก็ไม่สนใจที่จะดูรายการอื่นอีก
หล่อนเอนร่างลงโซฟา
มองไปที่นาฬิกาบนฝาผนัง เกือบห้าทุ่มแล้ว
วันนี้วันศุกร์นักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
ยังไม่กลับบ้านเช่นเคย
แต่ไม่ว่าจะดึกดื่นปานใด หล่อนก็ต้อง
อดหลับอดนอน
รอเปิดประตูให้ลูกสาวด้วยตัวเอง เพราะ
ไม่อยากให้คนใช้เห็นดาราสาววัยรุ่นในสภาพเสียศูนย์
ลมหายใจ
อบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่
..และ..เสียงสบถหยาบคายต่าง ๆ
นานา.. หล่อนได้เห็น
ได้ยินจนเคยชิน และมีความรู้สึกว่าไอ้คำเหล่านี้
มันเปลี่ยนความหมายไปตามยุคสมัย
แต่ก่อนมันเป็นคำด่า เดี๋ยวนี้
มันเป็นคำพูดธรรมดาที่ผู้พูดไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
ไม่สนเรื่อง
ความหมาย
แค่พ่น ๆ มันออกไปเท่านั้น เหมือนกับคำว่าโอเค
หล่อนเองเคยได้ยินนักศึกษาพูดกันในวงสนทนาของพวกเขาเสมอ
ขณะเดินไปด้วยกันก็ยังว่าให้กัน..เหี้ย..สัตว์..แม่ง...”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๖๗)
๕. นอนสาหล่า
๑) โครงเรื่อง
นานนับสัปดาห์แล้วที่เสียงเพลงกล่อมเด็กผุดขึ้นมาในความทรงจำของสวย
จนทำให้เธอไม่มีสมาธิกับการเรียน
ภาพความหลังครั้งอดีตเมื่อหกเจ็ดปีที่ผ่านมายังวนเวียนมาหลอกหลอนให้นอนฝันร้าย
ภาพทารกนับพันต่างส่งเสียงร้องโหยหวน สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาตมองมาหาเธอ
เธอหวีดร้องลั่น ทำให้เพื่อนนักศึกษาร่วมห้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ และถามไถ่
แต่เธอบอกว่าเธอฝันเห็นผี ไม่มีอะไร ขอโทษที่ทำให้ตื่น
เมื่อก่อนสวยร้องเพลงกล่อมเด็ก
จนได้เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันมหกรรมวิชาการ ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับเขตการศึกษา
และต้องฝึกซ้อมต่อ ครูจึงให้ไปพักที่บ้านของท่าน ซึ่งแม่ของเธอก็อนุญาต
ค่ำคืนหนึ่งมีงานบุญผ้าป่าที่วัด
อาจารย์ของเธอไปช่วยงาน ให้เธออยู่ซ้อมร้องเพลงที่บ้าน พออาจารย์ออกบ้านไป
เธอจึงอาบน้ำเตรียมตัวนอน อยู่สามีอาจารย์ก็มาเรียกพร้อมกับเอาลูกชิ้นให้เธอทาน
ไม่ถึงสิบนาที่ก็ทำให้เธอหมดสติไป
รู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อความสาวที่หวงแหนถูกพรากไปแล้ว เธอนอนร้องไห้น้ำตานองหน้า
ขณะที่สามีอาจารย์ทั้งปลอบทั้งขู่เธอรู้สึกกลัวและสุดขยะแขยง และยังจะนัดหมายให้เธอมาเจออีก
จากนั้นจนจบมอสาม
แม้ระยะเวลาแค่สองเดือน ในความรู้สึกของสวยมันช่างยาวนาน
เหมือนโลกกลายเป็นอเวจีไปแล้ว เด็กสาวที่เคยร่าเริงแจ่มใสกลายเป็นคนเก็บตัว ยามค่ำคืนเธอน้ำตาไหล
เมื่อถึงวันที่ต้องไปตามคำขู่เข็ญ หลายคนบอกว่าสวยโดนของ
พ่อกับแม่ก็ว่าจ้างหมอผีมาปัดรังควานแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น
ต่อมาสวยตัดสินใจไปทำงานเป็นสาวโรงงานย่านนวนคร
แม่บอกว่าจะไปทำงานก็ตามใจ เรียน กศน. เอานะลูก เธอเดินทาไปพร้อมกับร่างกายภายในที่เริ่มผิดปกติ
อยากกินโน่นกินนี่สารพัด ยกเว้นลูกชิ้น
สวยท้องได้แปดเดือน
เธอบอกให้เพื่อนพาไปทำแท้ง จากนั้นเป็นต้นมา เธอกลายเป็นคนกร้านชีวิต หัวใจแกร่งกล้าขึ้น
ความอ่อนโยนนุ่มนวลค่อยเลือนหาย
เธอฮึดสู้จนเรียนจบมอปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน
ขณะเรียนได้พบรักกับหนุ่มนักมวย ซึ่งมาหาความก้าวหน้าเช่นกัน
เธอวาดฝันอนาคตที่มีร่วมกันกับเขา
จนกระทั่งเธอท้อง แต่หนุ่มนักมวยกลับบอกให้เธอเอาเด็กออก เพื่อน ๆ
ช่วยสืบจนรู้ว่าเขาซุกซ่อนภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายไว้ที่ห้องเช่าใกล้ค่ายมวย เธอแกร่งขึ้นกว่าท้องแรก
เธอกลับบ้านเพื่อเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด
สวยปฏิเสธที่จะไปลอยกระทงกับชายหนุ่มที่กำลังคบหา
โดยอ้างว่าต้องไปทำบุญกับแม่ เขาจึงทำท่าหัวเสียและกลับจากหอพักของเธอไป เธอมองตาม
ยิ้มที่มุมปาก ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอเข้มแข็ง
เป็นตัวของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างรู้ทันและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำแท้งอีก
เป็นครั้งที่สาม
เดือนเต็มดวง
เพลงกล่อมเด็กลอยมา
ภาพข่าวซุกซ่อนศพทารกนับพันที่โกดังเก็บศพของวัดแห่งหนึ่งยังคงตามหลอกหลอน คลินิกนั้นยังแจ่มชัดในความทรงจำ
ข่าวบอกมีเด็กรอดจากการทำแท้งเกือบสิบคน อายุตั้งแต่แปดเก้าปีลงมาถึงแปดเดือน หากลูกของเธอรอดคงอายุประมาณห้าหกขวบ
เธอร้องไห้ พลางยกมือไหว้อธิษฐานส่งบุญกุศลไปยังลูกทั้งสอง
ภาพห่อศพเด็กเต็มโกดัง
และภาพเด็กน้อยกำลังเป่าเค้ก ตัดสลับไปมาในความรู้สึก
ขณะที่เพลงกล่อมเด็กดังกังวานไม่หยุดหย่อน สวยทรุดลงบนเตียง
เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์แทรกเข้าผสมผสานกับเพลงกล่อมเด็ก
ลอยเลื่อนเข้ามาหอมกลิ่นหอมกรุ่นของขนมเค้กและกลิ่นศพ
๒) แก่นเรื่อง
ประสบการณ์ที่โหดร้าย
หากนำมาเป็นบทเรียน ย่อมทำให้คนแข็งแกร่งขึ้น
๓) ตัวละคร
สวย ตัวละครหลักของเรื่อง
สามีอาจารย์
ตัวละครที่ส่งผลต่อตัวละครหลัก
อาจารย์
ตัวละครที่ส่งผลต่อตัวละครหลัก
พ่อกับแม่ของสวย
นักมวย
ตัวละครที่ส่งผลต่อตัวละครหลัก
ชายหนุ่ม
เพื่อนของสวย
๔) ฉากและสถานที่
ห้องเช่าของสวย
คลินิกทำแท้ง
บ้านของสวย
หอพักของสวย
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้เนื้อเพลงกล่อมเด็กเข้ามาช่วยในการนำเสนอเรื่องราว
ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“ ‘อื่อ หือ
อือ หือ อื้อ
หือ อือ...
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม
นอนตื่นแล้วจั่งแอ่วกินนม
กินนมไผกะบ่ปานนมแม่
กินนมแม่มันแซ่บมันหวาน มันหวานลง
หวานลงคือกล้วย หวานจ้วยจ้วยใส่ปากคำแพง อื่อ
หือ อือ หือ
อื้อ หือ
อือ... แม่ไปไฮสิหมกไข่มาหา แม่ไปนาสิหมกปลามาป้อน
แม่เลี้ยงม่อนอยู่ป่าสวนมอน
นอนตะแคงกะอยู่กกไม้เนิ่ง ฟังเสียงเอิ้น
กะอ้ายบ่าวสีลา
เพิ่นไปนาจับอึ่งมาแล้ว จับอึ่งแล้วเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย...’ ”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๘๕)
“...อื่อ หือ
อือ หือ อื้อ
หือ อือ... นอนสาหล่าหลับตา
เว้าง่าย
แม่สิไปเข็นฝ้ายเดือนหงายเล่นผู้บ่าว ลางเทื่อได้พ่อน้า
มาเลี้ยงใหญ่ใหญ่สูง...อื่อ หือ
อือ หือ อื้อ
หือ อือ...”
(ทัศนาวดี,
๒๕๕๔: ๘๗)
“ ‘อื่อ หือ
อือ หือ อื้อ
หือ อือ... นอนสาหล่าหลับตา
แม่สิกล่อม
นอนอู่แก้วหลับแล้วแม่สิกวย หลับอ้วยซ้วยเด้อหล่า
คำแพง
...อื่อ หือ อือ
หือ อื้อ หือ
อือ...’ ” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๑๐๑)
“...อื่อ หือ อือ
หือ อื้อ หือ
อือ... นอนสาหล่าหลับตา
แม่สิกล่อม
ขดอ้อมป้อมอยู่ในอู่สายไหม มิอันใดกะสิให้อ่อนน้อย
หลับอ้อยส้อยมาแอ่วอย่ากวน
แม่ไปสวนอย่ากวนอย่าดื้อ อื่อ หือ อือ
หือ อื้อ
หือ อือ...” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๑๐๒)
๖. สมภารระดับ ๘
๑) โครงเรื่อง
๑.
เขามาทำบุญที่วัดพร้อมกับภรรยาอดีตนางนพมาศประจำตำบลที่ถูกเพื่ออุ้มสม
ในคืนหนึ่งที่เมามายไม่ได้สติ บัดนี้เธอกลายเป็นช้างคู่ชีวิตของเขา แม้จะจู้จี้ขี้บ่นขึ้นตามวัย
แต่เธอไม่เคยก้าวก่ายเรื่องงาน เขาสนทนากับหลวงพ่อเรื่องค่านิยมที่เปลี่ยนไป
ผู้คนหันไปตามกระแสตะวันตก ซึ่งหลวงพ่อหวังว่าเขาที่เป็นครูจะมีส่วนช่วย หลวงพ่อจึงเคาะหัวให้
จากนั้นเขาจึงลากลับ พร้อมกันนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น
๒.
เด็กสาวหงุดหงิดเมื่อโทรศัพท์ไม่มีการตอบรับ อีกทั้งโมโหให้แม่ที่เอาแต่พร่ำว่าตนเป็นเมียของครูบาอาจารย์อายุคราวพ่อ
แต่เธอกลับตอบกลับไปว่าแม่ดีนักหรือ หนีตามใครไม่รู้ หน้าตาพ่อก็ไม่เคยเห็น
ทุกวันนี้รอดอดอยากเพราะใคร
สาวน้อยดูรูตัวเองในโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พึ่งได้มาเมื่อวาน
เธอถอนใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอสวยจนไปเข้าตาท่าน มีคนสนใจเธอมากมาย ทั้งเพื่อน
รุ่นพี่ และบรรดาหัวงูทั้งหลาย แต่เธอเลือกท่านเพราะมีทั้งอำนาจ เงิน และใจถึง
ท่านที่เป็นผู้อำนวยการที่เธอยื่นพานให้ในวันไหว้ครูและก้มลงกราบแทบเท้า
โทรศัพท์ดังขึ้น เธอกดรับฟังการนัดหมายจากคนที่เธอเคยก้มลงกราบแทบเท้า
๓.
ที่ผับเหล่าคณะกรรมการประเมินและผอ. ซีแปดคนใหม่ ต่างฉลองกันอย่างสนุกสนาน
ดื่มเหล้าเคล้านารี แต่ละคนเลือกคู่ของตนเพื่อความสุขทางกายภายใต้บรรยากาศคนกินคน
ขณะที่เคลียร์ค่าตัวกับนายหน้าเขามองเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง
หมวกของชายคนนั้นดูคุ้นเคย พอเสียงโทรศัพท์เขาจึงละความสนใจ
และหันไปพูดว่ารอครูที่เดิมนะ จะไปเดี๋ยวนี้
๔. ที่โรงเรียน
อาจารย์เวรตรวจความเรียบร้อยที่หน้าประตู
อาจารย์ฝ่ายปกครองพูดกับนักเรียนที่หน้าเสาธงว่าตั้งแต่ท่านผู้อำนวยการย้ายมาโรงเรียนพัฒนาในทางที่ดีขึ้น
และแสดงความยินดีกับตำแหน่งผู้ชำนาญการพิเศษที่ท่านพึ่งได้รับ จากนั้นท่าน ผอ. จึงพูดถึงเรื่องคุณธรรม
จริยธรรม
และอาจารย์ฝ่ายปกครองจึงส่งสัญญาณปล่อยแถวนักเรียน
เด็กสาวสองคนเลี่ยงเข้าห้องน้ำต่างอวดสิ่งที่ตนพึ่งได้รับมาคนแรกโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
คนที่สองแหวนวงเล็ก ๆ
และเดินขึ้นชั้นเรียน ต่างพูดถึงสามีของอีกฝ่ายที่พูดหน้าเสาธงที่ผ่านมา
๒) แก่นเรื่อง
วัตถุนิยมครอบงำจิตใจ
ผู้คนแห่ตามกระแสตะวันตก ทำให้คุณธรรมของผู้คนลดต่ำลง
๓) ตัวละคร
ผอ. ตัวละครหลักของเรื่อง
อาจารย์ฝ่ายปกครอง ตัวละครรอง
เด็กสาวคนที่หนึ่ง ตัวละครหลักของเรื่อง
เด็กสาวคนที่สอง ตัวละครรอง
แม่ของเด็กสาวคนที่หนึ่ง
กลุ่มผู้อำนวยการ
ภรรยาผอ.
หลวงพ่อ
๔) ฉากและสถานที่
วัด
โรงเรียน
ห้องน้ำหญิง
ชั้นเรียน
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเรียงตามลำดับปฏิทิน โดยมีตัวเลข ๑-๔
เป็นตัวกำกับเรื่องราวในแต่ละฉาก
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“เด็กสาวมอสามสองคนเกี่ยวก้อยกันเลี่ยงเข้าห้องน้ำ
ทั้งคู่คุยกันกระหนุงกระหนิง
ส่งเสียงหัวเราะกันคิกคัก
เหมือนพึ่งได้ฟังเรื่องขบขัน
ต่างไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปทำธุระส่วนตัว
คนหนึ่งชูนิ้วอวดแหวนวงเล็ก
ๆ อีกคนเกทับด้วยการล้วงกระเป๋า
กระโปรงดึงมือถือใหม่เอี่ยมมาข่ม
ต่างชื่นชมของกันและกันสักพัก
ก็เดินเคียงคู่กันขึ้นชั้นเรียน
‘ผัวมึงพร่ำซ้ำซากแต่เรื่องเดิม
ๆ มารยาท หนีเรียน
การแต่งกาย
แม่ง..น่าเบื่อจริง ๆ’ สาวน้อยเจ้าของมือถือบ่นออกมา
‘ผัวมึงก็เหมือนกันแหละ
เชอะ..คุณธรรม จริยธรรม
กูยืนจนขาแข็ง
ร้อนแดดชิบหาย’ อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๑๑๗)
๗. เสื่อม
๑) โครงเรื่อง
ครูและเด็กนักเรียนชั้นปอสองกำลังช่วยกันตกแต่งห้องเรียนเพื่อเตรียมต้อนรับคณะกรรมที่จะมาประเมิน
ด้วยการให้ค่าจ้างเด็กคนละบาท
เธอหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วเธอได้มาบรรจุที่นี่
ได้พักที่บ้านครูใหญ่ และต่อมาเธอได้เป็นสะใภ้ของครูใหญ่
สามีของเธอย้ายมาสอนที่เดียวกัน พอมีลูกภาระก็เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
เธอและสามีต่างหาเงินมาอุดหนี้กัน ไม่สนใจการสอน
ปล่อยให้เด็กวิ่งไล่กันตามเวรตามกรรม
ลูกสาวที่เรียนมหาวิทยาลัย
กับลูกชายที่เรียนเตรียมทหาร ทำให้ต้องเอาโฉลดไปฝากไว้กับธนาคาร
ทว่าตอนนี้ลูกชายกลับเกเร การเรียนแย่ลง ๆ กินเหล้าสูบบุหรี่แข่งกับพ่อ
แถมยังติดพนันบอล
เธออยากสอนเด็กให้ความรู้เช่นก่อน แต่วุ่นวายกับตำแหน่งที่ต้องทุมสุดตัว
เพื่ออนาคตที่จะดีขึ้นในอนาคต
ผู้บริหารไปเลี้ยงอาหารอาจารย์ผู้ตรวจวิทยานิพนธ์ที่ร้านอาหารเจ้าประจำ
พร้อมกันนั้นอาจารย์ก็ให้นามบัตรมาอีกรอบ และมีข้อมูลบางอย่างอยู่ด้านหลังด้วย
ครูเปิดประตูให้ผู้บริหาร
สามีของเธอ
กล่าวถึงการตรวจงานของภรรยาที่ทราบผู้ตรวจอีกคนและเธอต้องไปพบตอนเย็นวันพรุ่งนี้
หลังจากที่นัดหมายกันทางโทรศัพท์กับอาจารย์ผู้ตรวจ
เธอถือสิทธิ์ไม่ไปโรงเรียนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ช่วงเช้าไปโอนเงินให้ลูกทั้งสอง คอนบ่ายไปรับเงินกู้ฉุกเฉินที่สหกรณ์
จากนั้นไปร้านเสริมสวย และเปิดห้องรอเวลานัดหมาย
อาจารย์ดอกเตอร์พูดคุยทางโทรศัพท์กับคนรับจ้างทำวิทยานิพนธ์อย่างสนิทสนม
เขามองดูภรรยาที่พึ่งออกไปทำงานที่โรงพยาบาล สาย ๆ ของวันนี้เขาจะเข้าที่ทำงาน
สอนเด็กจากสิบโมงถึงเที่ยง หลังทานข้าวมาตรวจวิทยานิพนธ์กับผลงาน ค.ศ.๓
แล้วงีบหลับ ตอนเย็นค่อยไปตามนัด
เสียงสัญญาณ sms ดังขึ้น
ข้อความแรกจากนักศึกษาสาวที่เขากำลังคั่วอยู่ให้เขาโอนเงินให้
ข้อความที่สองจากลูกศิษย์ปริญญาโทเอกบริหารการศึกษา ที่จะโอนเงินให้
หากวิทยานิพนธ์ผ่าน และข้อความที่สามจากครูที่เขาตรวจงานให้
ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
๒) แก่นเรื่อง
ความเสื่อมของสถาบันการศึกษา
ที่ครู ผู้บริหารต้องการตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น
จนต้องใช้อำนาจเงินเข้ามาช่วย แต่กลับไม่สนใจเด็กที่อยู่ในความดูแลของตน
๓) ตัวละคร
ครู
ผู้บริหาร
อาจารย์ดอกเตอร์
ภรรยาของอาจาร์ดอกเตอร์
๔) ฉากและสถานที่
โรงเรียน
ร้านอาหาร
บ้านของครูกับผู้บริหาร
บ้านของอาจารย์ดอกเตอร์
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“เกือบสี่ทุ่ม เขาขับรถออกจากร้านอาหารเจ้าประจำ
รู้สึกทั้งเมาทั้งง่วงทั้งเครียด
ระยะทางเกือบห้าสิบกิโล ยังไง
ก็ต้องรีบกลับไปนอนเอาแรง
ตื่นมาจะได้เอาวิทยานิพนธ์ไปให้
ผู้รับจ้างแก้สัปดาห์หน้าอาจารย์นัดดูอีกครั้ง
ตกเย็นต้องไปงานเลี้ยง
กับเจ้านายอีก
‘เกือบดีแล้ว
ไปปรับตามที่ผมเขียนแนะนำไว้นะ มีอะไร
โทรมาก็แล้วกัน
อ้อ! นี่นามบัตรของผม เผื่อครั้งก่อนคุณทำหาย’
‘ครับอาจารย์ ขอบคุณมากนะครับ’ เขาก้มพนมไหว้
อย่างนอบน้อม
ยื่นมือรับนามบัตรพร้อมวิทยานิพนธ์คืนมา
เดินค้อมตัวไปส่งอาจารย์ที่รถ
จากนั้นก็วกกลับมาจ่ายค่าอาหาร
และเครื่องดื่ม
แล้วเดินกลับมาที่รถตัวเอง โยนเอกสารปึกนั้น
ไว้เบาะหลัง
โดยไม่สนใจแววตาเจ้าของร้านผู้คุ้นเคย
ก่อนสตาร์ตเครื่อง
แต่..ครั้งนี้มันมีข้อมูลอะไรบางอย่าง
อยู่ด้านหลังด้วย”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๑๒๓-๑๒๔)
๘. ทศนิยมไม่รู้จบ
๑) โครงเรื่อง
เธอจัดการโกยผักตบชวากับหอยเชอรี่ที่ทุงนามาสามวันแล้ว
แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ สามีของเธอเป็นรองนายก อบต.
เดิมเขาเป็นคนเอาการเอางานขยันขันแข็งใส่ใจลงไร่ลงนาหาอยู่หากิน
พอได้ตำแหน่งภาระงานในไร่จึงตกเป็นของเธอ
แม้เธอจะไม่ชอบเรื่องการเมือง
สามีไม่ชอบเล่นหวย แต่ก็ไม่ก้าวก่ายกันให้เกิดมีปากเสียงรุนแรง แบบว่าทางใครทางมัน
นานทีจะบ่นออด ๆ แอด ๆ สักครั้งพอให้หายคันปาก ทำไงได้
คนเราก็มันบ้ากันคนละอย่างนี่นา
ยามเมื่อสามีของเธอดูทีวีก็มีไอ้เด่น หมาคู่ใจนอนหมอบดูทีวีด้วยประจำ เมื่อผู้แทนมาหาเสียงที่หมู่บ้านก็เข้าไปคลอเคลีย ครั้งหลังมันกลับเห่าแสดงท่าทีไม่ต้อนรับท่าน รองนายกฯ จึงบอกไปว่ามันโดนวัยรุ่นไล่ตีเลยระแวง สามีของนางมักบอกให้นางซื้อหวยการเมืองอยู่เสมอ นางก็อดคิดตามไม่ได้ เพราะคนมีอำนาจสามารถล็อกเลขได้
ยามเมื่อสามีของเธอดูทีวีก็มีไอ้เด่น หมาคู่ใจนอนหมอบดูทีวีด้วยประจำ เมื่อผู้แทนมาหาเสียงที่หมู่บ้านก็เข้าไปคลอเคลีย ครั้งหลังมันกลับเห่าแสดงท่าทีไม่ต้อนรับท่าน รองนายกฯ จึงบอกไปว่ามันโดนวัยรุ่นไล่ตีเลยระแวง สามีของนางมักบอกให้นางซื้อหวยการเมืองอยู่เสมอ นางก็อดคิดตามไม่ได้ เพราะคนมีอำนาจสามารถล็อกเลขได้
เธอไปทำบุญที่วัด
พร้อมกับเล่าเรื่องดอกวาสนาที่บ้านให้หลวงพ่อฟัง ท่าอกว่าเธอจะได้โชคลาภ
ให้ประกอบพิธี พอได้เวลามงคลฤกษ์ตามที่หลวงพ่อบอก สามีของเธอก็ไม่รบกวน เธอทำพิธี
มีเครื่องคาวหวาน
จุดธูปเทียน ตั้งนะโมสามจบ ต่อด้วยสวดอ้อนวอนขอพร
ปิดท้ายด้วยตั้งจิตอธิษฐานขอเลขเด็ด
แล้วใช้มีดขูดไปที่โคนต้นวาสนาเอาเทียนลน ลงแป้ง หลับตา
พนมมือกลั้นหายใจแล้วเพ่งมองจนได้เลขมา ต่อมามีเสียงหมากัดกันเพราะเครื่องคาวหวาน
เธอโมโหจึงออกไปไล่
สามีของเธอดูรายงานข่าวกลุ่มผู้ประท้วงที่ยังปักหลักอยู่หน้ารัฐสภา
เกิดเหตุการณ์วางระเบิดถล่มสถานีตำรวจและค่ายทหาร
ย่านชุมชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ประชุมสภาฯ เกิดความวุ่นวาย
หลานชายไต่ราวบันไดมาถามการบ้านตา
เขาอาสาจะทำให้ แต่พอเห็นโจทย์ สิบหารสาม แล้วตอบหลานชายไปว่า มันทำไม่ได้หรอก
เขียนตอบไปก็ไม่จบไม่สิ้น หลานหันหลังกลับสีหน้าละห้อพรุ่งนี้คงถูกครูฟาดก้นแน่
เหลือเพียงข้อเดียวเท่านั้น พึ่งพาตาก็ไม่ได้ ความหวังสุดท้ายคือลอกเพื่อน
แต่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะทำได้หรือไม่
ในทีวีเกิดความวุ่นวายอีกรอบ
เกิดการชี้หน้าด่ากัน ไม่มีใครฟังใคร ประธานจึงสั่งปิดประชุม ท่านรองนายกฯ
จึงปิดทีวี แล้วขึ้นบ้านไป ใบหน้าเขาตึงเครียดบอกความไม่สบอารมณ์
ทั้งอายหลานชายที่ช่วยไม่ได้ หวยที่กะว่าจะได้ฝากเมียก็เลยอด
มองดูทีวีแล้วอยากรัวหมัดศอกเข่าลงไปกลางจอ
ให้สาใจ
๒) แก่นเรื่อง
การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
มักไม่ประสบความสุข ต้องสามัคคีกันจึงจะเกิดความสุข
ความเจริญก้าวหน้า
๓) ตัวละคร
รองนายก
อบต.
ภรรยารองนายก
อบต.
หลานชาย
๔) ฉากและสถานที่
ทุ่งนา
บ้าน
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเรียงตามลำดับปฏิทิน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“บ่อขนาดครึ่งไร่ อัดแน่นไปด้วยผักตบชวา นางโกยมัน
ขึ้นฝั่งเป็นสัปดาห์แล้ว
แต่ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะลดลง มันร้ายจริง ๆ
ตอนแรกนางเอามันมาโยนลงบ่อคาสองกอ
กะว่าจะให้เป็นที่
ซุกอาศัยของปลา
รากใบของมันทำให้น้ำเย็นทั้งยังเป็นอาหารปลา
ได้อีก
ดูสิ! เผลอแผล็บเดียว มันออกลูกออกหลานเสียเต็มบ่อ
ปราบเท่าไหร่
ๆ ไม่รูจักหมด ..เวร!..
‘มันมีเชื้อแล้ว
ไม่ตายง่าย ๆ หรอก เหมือนเสื้อเหลือง
เสื้อแดง’ผัวของนางเอ่ยขึ้นในค่ำหนึ่ง
‘พอ ๆ อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน
นี่มันเรื่องทำมาหากิน
ส่วนเรื่องนั้นเชิญบ้ากันไปเถอะ’ นางตะคอกคืนใส่
รู้สึกขัดใจ
ทั้งผัว
ผักตบ และ...” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๑๓๖)
๙. เสาหลัก
๑) โครงเรื่อง
สิ้นเสียงเพลงชาติที่ลอยออกมาจากหอกระจายข่าว
ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียงประกาศเรื่องงานศพของพ่อใหญ่พิม
ผู้บุกเบิกก่อตั้งหมู่บ้านในอีกสองวันข้างหน้า และการเลือกตั้งนายก อบต.
ในสัปดาห์ถัดไป โดยเฉพาะเรื่องแรกให้ลูกหลานทุกคนในหมู่บ้านเข้าร่วมงาน
สลิดกับพรชัย
ปูเสื่อลงกลางสนามฟุตบอลนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เคยเป็นครูที่โรงเรียนบ้านหนองบัวคำแห่งนี้เมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว
รวมถึงบ้านผีสิง
หรือบ้านพักครูที่พวกเขาเคยพักกับนักเรียนแล้วมีเด็กเจอผีที่ต้นขี้เหล็ก
ซึ่งบัดนี้หายไปแล้วทั้งบ้านพักครูและต้นขี้เหล็ก
เมื่ออดีตมีเด็กหญิงชั้นปอสองเกิดชักกระตุก
ก่อนหน้านั้นหลับตา กำมือแน่น ตัวโคลงเคลงไปมาแล้วล้มตึง จนได้พ่อใหญ่พิม ผู้บุกเบิกหมู่บ้าน
เสาหลักของหมู่บ้านมาช่วยจึงหายเป็นปกติ สองวันต่อมาจึงทำบุญครั้งใหญ่ที่โรงเรียน
ต่อมาพวกเขาทั้งสองพบกับพี่เหลา
ลูกพี่ลูกน้องของพ่อใหญ่พิม เขาจึงชวนไปที่กระท่อมเพื่อจิบสาโทและพูดคุยกันถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
พี่เหลาเล่าถึงการจัดงานศพแบบครบวงจรที่วัดเก่าในกรุงเทพฯ ที่เขาเคยบวชเรียน
ทั้งสามคนสนทนาถึงเหตุลอบวางเพลิงฌาปนสถานหลักสะดือบ้านที่มีหอกระจายข่าวมาครอบ
เดือนหน้าจะมีเสารับส่งสัญญาณโทรศัพท์มาครอบทั้งหลักบือบ้านและหอกระจายข่าว
เสาหลักของหนองบัวคำเปลี่ยนไปแล้ว
พูดชัยบอกเสียงเศร้า ไม่มีทางดึงฟื้นกลับเลยหรือนี่ สลิดกล่าวเสริม พี่เหลาจึงเล่าถึงเรื่องที่เด็กวัยรุ่นขี้เมาหาญกล้าไปเยี่ยวรดหลักบือบ้าน
ต้องให้พ่อใหญ่พิมช่วยทำพิธีขอขมาลาโทษให้ แต่เด็กกลับไม่สำนึก
สิ่งที่ทำได้วันนี้ก็คือปลดปล่อยวาง เฝ้ามอง ทำใจนิ่งเฉย อย่าตีโพยตีพาย เด็กมันจะหัวเราะเอา
๒) แก่นเรื่อง
ความคิดเปลี่ยน
ส่งผลให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
๓) ตัวละคร
สลิด ตัวละครหลักของเรื่อง
พรชัย
ตัวละครหลักของเรื่อง
พี่เหลา
ตัวละครหลักของเรื่อง
พ่อใหญ่พิม
๔) ฉากและสถานที่
โรงเรียน
กระท่อม
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“และ-คืนนั้นก็เจอดีจนได้ เด็กห้องกลางสามคนบ่นว่า
นอนไม่หลับ
ทั้งที่อากาศเย็นสบาย แต่กลับนอนพลิกไปมา ทั้งอึดอัด
ทั้งร้อน
จึงยกโขยงออกมานอนรับลมตรงระเบียงด้านหน้า
ก่อนม่อยหลับไปในกลางดึก
นานนับชั่วโมง พอดีหนึ่งในนั้น
เกิดปวดฉี่
งัวเงียลุกขึ้นเอาลำตัวแนบกับลูกกรงระเบียงหน้าต้น
ขี้เหล็ก
ควักอาวุธออกมาหมายปล่อยทุกข์
ทันใดนั้นเอง..พอสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดในคืน
เดือนแรม
เด็กน้อยก็ร้องออกมาเสียงหลงว่า..ผีหลอก ๆ.. เพื่อนอีก
สองคนสะดุ้งตื่นและต่างร้องด้วยความตกอกตกใจเหมือนกัน
พรชัย
กับสลิดถลันออกมากราดไฟฉายไปยังต้นขี้เหล็ก
ทุกอย่างว่างเปล่า
มีแต่ใบขี้เหล็กโบกโบยไปมาตามสายลม
เด็กทั้งสามยังกอดกันกลม
บอกมีผีห้าตัว
ตัวแม่กำลังไกวอู่กล่อมลูกคนเล็ก ตัวพ่อและผีเด็ก
ทั้งสองแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน
เด็กว่ามาอย่างนั้น สลิดเชื่อ
ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่พรชัยยังส่ายหน้า พลางลากเด็กไปนอนในห้องด้วย
กว่าจะหลับก็จวนสว่าง” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๑๕๔-๑๕๕)
๑๐. เจ้าหน้าที่
๑) โครงเรื่อง
ทิดเขียวทำหน้าที่ของตนที่โลตัส
ยื่นบัตรพร้อมกับพูด ‘โลตัส สวัสดีครับ’ รับบัตร พร้อมกับพูด ‘โลตัส ขอบคุณครับ’ ห้างอันทันสมัยนี้
ตั้งอยู่ก่อนเข้าสู่ตัวอำเภอไม่ถึงกิโลมีข้าวของเครื่องใช้ให้เลือกสรร
มีคุณภาพและราคาไม่แพ้ห้างใหญ่
พ่อใหญ่บัวนั่งชันเข่าเฝ้าวัวทั้งห้าของแกอยู่ข้างทาง
พร้อมกับ หมั่นไส้ท่าทีของทิดเขีย
ตะวันบ่ายคล้อยทิดเขียวยังทำหน้าที่ของตนต่อไป
พ่อใหญ่บัวเอนหลัง คิดถึงเรื่องราวในอดีตมีรถขายแตงโมอาบสารพิษ
ผ่านมาเปิดเพลงดังถึงไปทั่ว แกมองห้างพร้อมกับมองห้างที่เมื่อก่อนเคยเป็นที่ดินของตน
วาสนานั่งรถมากับสามีฝรั่งเห็นพ่อใหญ่บัว
ผู้เป็นเสี่ยวฮักเสี่ยวแพงกับพ่อของตน จึงเอาเบียร์ให้แกสองกระป๋อง
ใต้ต้นพุทราแกดื่มเบียร์ไปสองกระป๋องและหลับไป เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้แกตื่น
ทิดเขียวกระชากแขนแกสุดแรง และบอกว่าวัวของแกเข้ามาเดินเพ่นพ่านที่ลานจอดรถ
เขาจึงวานให้ลูกค้าไล่ไป จนเจอกับรถจักรยานยนต์ของเด็กทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ ตกลงกันได้ว่าไม่ต้องจ่าย ถือว่าฟาดเคราะห์ไป
พ่อใหญ่บัวมาเลี้ยงวัวตามปกติ
หนึ่งในนั้นขาเดี้ยงเพราะวีรกรรมเมื่อวาน แกเลยหวดแส้นาบชายโครงไปตัวละเพียะสองเพียะ
แล้วจ้ำตามวัวลงไปกลางทุ่งนา โดยไม่สนใจทิดเขียวที่ตะโกนไล่หลัง
๒) แก่นเรื่อง
กระแสบริโภคนิยมทางตะวันตก
เข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพวิถีชีวิตของคน
๓) ตัวละคร
พ่อใหญ่บัว ตัวละครหลักของเรื่อง
ทิดเขียว
ตัวละครหลักของเรื่อง
วาสนา ตัวละครรอง
ตำรวจ
เด็กนักเรียน
ลูกค้าห้างโลตัส
๔) ฉากและสถานที่
โลตัส
ทุ่งนาพ่อใหญ่บัว
ใต้ต้นพุทรา
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเรียงตามลำดับปฏิทิน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ข้อความ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ดังตัวอย่าง
“ ‘โลตัส สวัสดีครับ’
‘โลตัส ขอบคุณครับ’ ” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๑๖๘,
๑๖๙,
๑๗๕, ๑๗๙, ๑๘๐)
ทั้งนี้ผู้เขียนยังใช้เนื้อเพลงมาช่วยในการกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านอีกด้วย
ดังตัวอย่าง
“..งึก ๆ งัก ๆ
มันเป็นงึก ๆ งัก ๆ ....
มันเป็นอยากได้จั๊กกั๊ก
มันเป็นบ่คึกบ่คัก..
..จั่งซี้มันต้องถอน...
..จั่งซี้มันต้องถอน...” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๑๗๑-๑๗๒)
“ซ่องล่องแซ่งแล่ง..มันเป็นซ่องล่องแซ่งแล่ง..
มันเป็นบ่ล่องมะแล่ง..ตึ่ม...ต๊อง.....
..จั่งซี้มันต้องถอน....
..จั่งซี้มันต้องถอน....” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๑๗๙)
๑๑. โอ๊ะ! แพรวา
๑) โครงเรื่อง
เขางัวเงียขึ้นกลางดึก
ฝนปลายเดือนตุลาคมยังคงหว่านพรมร่ำไห้อยู่ เรือนไม้เล็ก ๆ
ชั้นเดียวมีอายุเกือบสี่สิบปี ที่เขากับแม่
ตั้งใจจะเก็บน้ำพักน้ำแรงของพ่อผู้ล่วงลับเอาไว้
ฤทธิ์ของน้ำเมาเมื่อหลายชั่วโมงยังคงอยู่ เขาหวนคิดถึงเรื่องของแพรวา
พร้อมกับหยาดน้ำตา แว่วเสียงโปงลางล่องลอยมา
เด็กนักเรียนสองคนเดินออกจากเรือนมารอรถโดยสาร
เพื่อเดินทางไปโรงเรียนในตัวจังหวัด
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจูงควายเดินข้ามถนนมุ่งสู่ทุ่งนา
หนึ่งในนั้นตะโกนหยอกด้วยความคุ้นเคยว่า ‘ผู้บ่าวผู้สาวคู่นี้สมกันแท้น้อ’
หนุ่มสิบหกยิ้ม สาววัยสิบสามหน้าแดง
เธอจึงถามเขาว่า ‘ยิ้มอะไร พี่โอ๊ะ..โอ๊ะ..ใจเสาะ’ นั่นเพราะเขาเป็นผู้รักษาประตูแต่ปล่อยให้ลูกเข้าประตูไปสามลูก เขาจึงเดินกลับบ้านเฉย ๆ และสัญญาใจกับตัวเองว่า นับแต่นี้
คนอย่างเขาจะไม่มีวันยอมแพ้
จะสู้ให้ถึงที่สุด แม้จะเหลือความหวังเพียงเศษเสี้ยว
เขาและเธอปลูกต้นรักกันมาจนถึงระดับมหาวิทยาลัยจำต้องห่างกัน
ระหว่างนั้นก็มีจดหมายถึงกันเสมอ พอพบกันอีกครั้งเธอกอดเขาพร้อมน้ำใส ๆ
ที่ไหลลงอาบน้ำ บอกถึงความรัก ศรัทธา
เชื่อมั่นและภูมิใจที่รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในขบวนการนักศึกษาที่ทำกิจกรรมต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
ให้แก่มวลพี่น้อง ชนชั้นกรรมกรผู้ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ
พร้อมกันนั้นเธอยืนยันเด็ดเดี่ยวว่า บนเส้นทางสายนี้
เธอจะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขาทุกหนแห่ง
ต้นตุลาคมปีนั้น
ตำรวจบุกเวทีปราศรัย เขาและเพื่อนหนีไปภูเก็ต พร้อมกับความรู้สึกสับสน
เป็นห่วงพ่อแม่ คนรัก
เขาฝากจดหมายผ่านจัดตั้งไปกับสหายในเมืองเพื่อนำไปให้เธอ ต่อมาจึงได้ข่าวจากเธอว่าจะมาพร้อมกับคณะนักศึกษาในเมืองเพื่อมาอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เขา
แต่เขารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเงาของสาวคนรัก และแล้วความหวังก็ค่อย
ๆ ลอยห่างออกไปทุกที เขาไม่สนใจผ้าพันคอของรักของหวงที่เธอเพียรถักให้เป็นของขวัญวันเกิด
มันล่องลอยไปกับสายธารเล็ก ๆ
เด็กนักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินมาหาเขา
ขณะเขาเดินดูนิทรรศการเดือนตุลาคม หลังลงจากเวทีอภิปรายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เธอบอกเขาว่า แม่เล่าให้ฟังว่า ป้าตายด้วยน้ำมือทหาร ขณะจะเดินทางไปหาลุง
พร้อมมอบจดหมายอายุสามสิบปีกับผ้าแพรวาให้เขา
เขาคิดถึงภาพครั้งอดีตของเขากับแพรวา
พร้อมกับประโยคที่ยังคงก้องสะท้อนความรู้สึก
ฝังลึกในความทรงจำวัยเยาว์
ตลอดระยะเวลากว่าสี่สิบปี ‘ผู้บ่าวผู้สาวคู่นี้สมกันแท้น้อ’ เขาดึงผ้าแพรวา
ผืนนั้นมาเช็ดน้ำตา
แล้วกอดกุมไว้แนบอก
๒) แก่นเรื่อง
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
ที่ต้องอดทน เสียสละ
๓) ตัวละคร
โอ๊ะ ตัวละครหลักของเรื่อง
แพรวา ตัวละครหลักของเรื่อง
เพื่อนของโอ๊ะ
นักศึกษาสาว ตัวละครรอง
๔) ฉากและสถานที่
บ้านของโอ๊ะ
ภูเก็ต
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“ต้นตุลาคมปีนั้น มารร้ายสยายปีกมืดดำทมิฬ คลุมทั่วฟ้า
เมืองไทย
มันลามรุกไปเหมือนเชื้อโรคร้าย อันระบาดรวดเร็ว
เกินต้านทาน
ขณะนั้น เขาและผองเพื่อนนักศึกษา เดินทางไปให้
กำลังใจและปลุกปลอบพี่น้องชาวภูเก็ต
ข่าวการบุกเข้าเข่นฆ่า
นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เดินทางมาถึงเวทีปราศรัย
เขาและเพื่อนมิตร
รู้ด้วยสัญชาตญาณว่า ภัยจากอำนาจเผด็จการ
กำลังกรูกันเข้ามา
หากขืนมัวช้า คงต้องยุติบทบาทการต่อสู้กัน
เพียงเท่านี้
‘ไปกัน เร็วเข้า
อยู่เมืองไม่ได้ก็ต้อไปอยู่ป่า’ เพื่อนคนหนึ่ง
ตะโกน
แล้วกระชากแขนเขาลงจากเวที ผู้คนแตกฮือ เสียงใครคนหนึ่ง
ตะโกนร้องบอกว่า
ตำรวจกำลังบุกเข้ามา เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแรง
ฉุดกระชากของเพื่อนคนนั้น
พาแทรกตัวเบียดบังไปตามฝูงชน
อาศัยความมืดพรางตัว
หลบออกไปได้หวุดหวิด
‘ไปไหน ๆ แฟนกูอยู่กรุงเทพฯ’ เขาละล่ำละลัก
ทำอะไร
ไม่ถูก
นี่มันไม่ใช่บ้านเกิด เขาตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย
‘อู่ซ่อมรถของพี่กู
เปลี่ยนเสื้อผ้าและห้ามหลับ ตีสี่จัดตั้ง
จะมารับ’ เสียงห้วน ๆ
สำเนียงใต้ สั่งเฉียบขาด เพื่อนในกลุ่มเขานั่นเอง
เขาจ้ำเท้าพรวด
ๆ ตาม ในสมองคิดสับสนปนเปไปหมด ที่นี่ที่ไหน
จะไปไหน
พรุ่งนี้จะอยู่อย่างไร การเรียนล่ะ..พ่อแม่ล่ะ..คนรักล่ะ..
กรุงเทพฯ
ลุกเป็นไฟแล้วหล่อนอยู่ธรรมศาสตร์ หรือหลบอยู่ซอกหลืบ
แห่งหนใด..หรือว่าโดนจับ
โดนฉุดคร่า หรือ...โอย...ชีวิตหนอชีวิต
เขาครวญคร่ำในอก
พร้อมสาวเท้าเร่งตีน บางขณะหันรีหันขวาง
เหมือนคนบ้า” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๑๘๖-๑๘๗)
๑๒. บ่ม
๑) โครงเรื่อง
พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคม
เขาต้องลากลับบ้านแล้วสองครั้ง ครั้งแรกงานศพลุง
กับเมื่อวานไปงานทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมประจำตำบล
ซึ่งเขาเป็นรองประธาน
สร้งความไม่พอใจให้ท่านผู้อำนวยการที่อยากให้อยู่ต้อนรับคณะกรรมการจากเขตการศึกษา
ส่วนใหญ่เวลากลับบ้าน
เขามักกลับคนเดียวเพราลูกทั้งสองเบื่อย่าขี้บ่น
ส่วนภรรยาไม่ค่อยกินเส้นกับแม่
แม่โกรธที่ผมเรียนจบแล้วแต่งงานกับเธอที่อายุสิบห้า
มักด่าว่าเธอเป็นสาวบ่มแก๊ส และลามมาถึงลูกสาวของเขาด้วย ลูกสาวโทรหาเขา
นึกว่าเขาไม่กลับบ้านจึงไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน
งานเลี้ยงสังสรรค์ตอนเย็น
เขากำชับไม่ให้เพื่อพูดถึงเรื่องการเมือง กระนั้นก็ยังนั่งตามสีเสื้ออยู่ดี
มีนั่งด้วยกันบ้างแต่ไม่มากนัก
พูดคุยกันถึงเรื่องวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสานที่ถูกลดความสำคัญลง
เพราะคนไม่สำนึกความยิ่งใหญ่ของตนเอง รวมทั้งเรื่องวัยรุ่นบ่มแก๊ส
ต่อมาเพื่อนของเขาได้รับแอลกอฮอล์เต็มที่ก็เกิดเหตุถกเถียงกันเรื่องเสื้อเหลืองเสื้อแดงขึ้น
แต่ก็สงบลงในเวลาต่อมา พวกเขาจึงดื่มให้กับชีวิตบ่มแก๊ส ก่อนจะเลิกราหมานกับพันทะเลาะกันเพราะ
คนหนึ่งเลี้ยงปลาในกระชัง อีกคนทำไร่อ้อยริมเขื่อน เป็นเรื่องปากท้องเหตุเพราะบ่มแก๊ส
เขากลับบ้านไป
แม่กับลูกยังไม่กลับบ้าน ปิดเปลือกตาลงเจอแต่ภาพอันเลวร้ายของเมื่อคืน
ริมรั้วโรงเรียน คำพันนอนจมกองเลือด โดนฟันที่คอ มีดตัดอ้อยตกอยู่ สมานโดนจับ
โรงพัก คุก ห้องไอซียู
๒) แก่นเรื่อง
สังคมบ่มแก๊ส หากสังคมไม่เป็นไปตามกลไกที่ควรจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ย่อมทำให้สังคมเกิดปัญหา
๓) ตัวละคร
ครู
เพื่อนของครู
ภรรยา
ลูกสาว
๔) ฉากและสถานที่
บ้านของครู
โรงเรียน
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง
ผู้เล่าปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละครหลัก
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเรียงตามลำดับปฏิทิน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำ
น้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี ดังตัวอย่าง
“
‘สังคมหรือการเมืองก็เหมือนคน ต้องเป็นไปตามกลไก
ค่อยเป็นค่อยไป
มีความพร้อมทุกด้านเมื่อไหร่ ไม่ต้องเรียกร้องหรอก
มันย่อมเป็นไปของมันเอง
ไม้ต้องมาก่อม็อบก่อความวุ่นวายหรือ
เร่งรัดมัน
กูคิดของกูอย่างนี้แหละ ขัดใจพวกมันก็ช่วยไม่ได้’ ผมพูดขึ้น
ใจยังเต้นโครมคราม
ไม่วายมองตามเพื่อนทั้งสองที่ปรี่เข้าหากันเมื่อครู่
‘ไอ้พวกบ้า
มันจะเอาสังคมไปบ่มแก๊ส’ อีกคนสบถมีเสียงหัวเราะ
จากเพื่อนสองสามคนตามมา
ผมยิ้มออก มันฉลาดเปรียบเทียบ
...บ่มแก๊ส..พูดเหมือนแม่ผมเลย
บรรยากาศเริ่มกลับคืนสู่ปกติ
พวกเราพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
พากันพูดถึงเรื่องบ่มแก๊สกันสนุกปาก
ย้อนความหลังจากประสบการณ์ของแต่ละคนที่เคยบ่มกล้วย
มะม่วง
น้อยหน่า
ไม่ทันอกทันใจก็บีบบี้เสียจนแตกปริ พอกินแล้วก็ไม่อร่อย
รสชาติจืดชืดจนต้องโยนทิ้ง
สังคมทุกวันนี้ก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน
‘มา..ดื่มให้กับชีวิตบ่มแก๊สกันหน่อย’
เพื่อนคนหนึ่งยกแก้ว
ขึ้นนำ
ผมเหลือบไปยังเพื่อนเสื้อสองสี เห็นนั่งแยกกันห่าง ๆ แล้วโล่งใจ
กลับมายกแก้วขึ้นชนกับเพื่อน
แล้วส่งน้ำสีอำพันไหลลงคอจนเกลี้ยง
ไม่เหลือติดก้น
ตามาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาที่ปนด้วยความขื่นขัด ”
(ทัศนาวดี, ๒๕๕๔: ๒๐๗)
๑๓. หวังว่าประชาชนคงเข้าใจ
๑) โครงเรื่อง
แม่ของเขาเข้านอนไปแล้ว
หลังจากที่กินข้าวเย็นกับเขาสองคน เมื่อพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เสียยืดยาว
แทบทั้งหมดเป็นเรื่องความเก่าความหลัง
สิบปีก่อนเรื่อยมาจนกระทั่งสามปีที่แล้วแม่พยายามรบเร้าให้ผมแต่งงานแต่ความหวังของแม่ก็ไม่บรรลุผล
ในความรู้สึกคิดว่าชินกับการอยู่แบบนี้ ไม่อยากพ่วงใครมาให้ลำบากด้วย
เขาได้แต่หวังว่าแม่คงเข้าใจ พักหลังแม่จึงถอดใจไปเอง
นอนไปผมพลางคิดถึงความหลังถึงพ่อใหญ่แฮด
นักเล่านิทานประจำหมู่บ้านที่มีลีลาการเล่า น้ำเสียงที่ราวกับนักพากย์มืออาชีพ
ทำให้เพลิดเพลินเจริญใจ รวมทั้งอ้ายเอก ศิลปินตาบอดที่ร้องเพลงได้ไพเราะทุกเพลง
ไม่ว่าของก้าน แก้วสุพรรณ, สุรพล สมบัติเจริญ ชาญ เย็นแข, ทูล ทองใจ, คำรณ
สัมบุณณานนท์, ปรีชา บุณยเกียรคิ หรือไวพจน์ เพชรสุพรรณ อ้ายเอกสนิทสนมกับครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี
มักเรียกผมว่า ‘นกเต็นซิว’ เพราะผมกระโดดลงน้ำได้นิ่มนวลที่สุด
หลังจากโทรทัศน์เครื่องแรกเดินทางมาถึงบ้านผู้ใหญ่บ้าน
พ่อใหญ่แฮดเลิกเล่านิทาน อ้ายเอกก็หลบหายออกจากหมู่บ้าน พ่อของผมบอกว่าพ่อใหญ่แฮดแกไปดูการ์ตูนกับเด็ก
ๆ แกเบิกตากว้างไปกับรูปร่างหน้าตาอันประหลาด มีเรี่ยวแรงมาก
แกดูแล้วแทบหมดเรี่ยวแรง เกรงว่าถ้ามันหลุดออกมาบุกเมืองเราจะสู้กับมันไม่ได้
มันตายไม่เป็น ด้วยท่าทางจริงจังของแกทำให้คนฟังต่างขำขัน แต่แกไม่สนุกด้วย
ในวันเผาพ่อใหญ่แฮด
อ้ายเอกก็โผล่มาพอดี ถามหาเขาจากแม่ บอกว่าหากเขากลับมาอยู่บ้าน
อ้ายเอกอาจกลับมาอยู่ที่นี่เช่นกัน ผมคิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมายทั้งเรื่องดารา
การเมือง
และอีกหลายเรื่องที่ผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของเรื่องต่างหวังว่าประชาชนคงเข้าใจ
เขาอยากบอกอ้ายเอกว่า
เขาเข้าใจพ่อใหญ่แฮดแล้วล่ะ
บ้านเราทุกวันนี้มันไม่หลงเหลือซากรอยอดีตให้ชื่นชมอีกต่อไปแล้ว
ชีวิตของคนรุ่นลูกรุ่นหลานต่างพุงไปตายเอาตาบหน้าทั้งนั้น
เขาเองต้องทนเป็นขี้ข้าเขาต่อไป จนกว่าจะกลับมาบวชเหมือนที่แม่ว่า
ถึงตอนนั้นหลายคนอาจเย้ยหยันว่าบวชเพราะจนตรอก อย่างไรก็ตามเขาหวังว่าอ้ายเอกและทุกคนคงเข้าใจ
๒) แก่นเรื่อง
ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
หากเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร ย่อมส่งผลดีตามมา
๓) ตัวละคร
ชายคนหนึ่ง
แม่
พ่อใหญ่แฮด
อ้ายเอก
๔) ฉากและสถานที่
บ้าน
๕) มุมมอง กลวิธีในการเล่าเรื่อง
กลวิธีในการเล่าเรื่อง ผู้เล่าไม่ปรากฏตัวในเรื่องในฐานะตัวละคร
ส่วนลำดับการเล่าเรื่องเป็นปัจจุบัน-อดีต-ปัจจุบัน
๖) ลีลาการใช้ภาษาและท่าทีของผู้แต่ง
ผู้เขียนบทเพลงมาช่วยในการนำเสนอเรื่องราว
ทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจที่จะติดตาม
ดังตัวอย่าง
“
รุ่งแสงสุริยา เสียงไก่ขันมา ก้องกังวาน กาเหว่าครวญ
เสียงหวาน
แว่วกังวานป่าดงพงไพร ชีวิตบ้านท้องนา เช้าตรู่ขึ้นมา
ไล่ควายไป..ฮึ่ย..ฮึ่ย.. ” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๒๑๗)
“
น้ำค้างเดือนหกตกแล้ว น้องเอยน้องแก้วเจ้าไม่หนาวบ้าง
หรือไร
เมื่อไหร่จะหาเพื่อนมาช่วยจับคันไถ รู้ตัวหรือเปล่าว่าใคร
คนหนึ่งชอบน้อง... ” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๒๑๘)
“
ชีวิตจำเจ ร่อนเร่รุงรัง เป็นคนเร่หนังไปขายทั่วถิ่น ขึ้นรถ
เร่หนัง
เหงื่อไหลหลั่งริน เหมือนนกขมิ้นในถิ่นกันดาร อื่อ อือ...
เครื่องฉายเครื่องไฟนำไปพร้อมเสร็จ... ” (ทัศนาวดี, ๒๕๕๔:
๒๑๘)
“
โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบท
เมื่อตอนเร้าใจ
บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ถึงเสียงเพียงใด
ต่างจบลงไปเหมือนกัน
เกิดมาต้องตายร่างกายผุพัง... ” (ทัศนาวดี,
๒๕๕๔: ๒๒๔)
“
ชีวิตจำเจร่อนเร่รุงรัง เป็นคนเร่หนังไปฉายทั่วถิ่น ...
มิตร
ชัยบัญชา, เพชรา โสภิณ พี่น้องทุกถิ่นนิยมกันดี..เราบริการ
ทุกสถานถิ่นที่
โปรดจงปราน คนเร่หนังเอย.... ” (ทัศนาวดี,
๒๕๕๔: ๒๒๘)
นางสาวปรียาภรณ์ โนนแก้ว
รหัสนักศึกษา ๕๔๓๔๑๐๐๑๐๓๐๗
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย
ชั้นปีที่ ๔ หมู่ ๓
เลขที่ ๗
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม