วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การอ่านตีความ เรื่อง โลกกลมกลมของชมพู่ : นิยายรักซีรีย์เอ็กซ์

โลกกลมกลมของชมพู่ : นิยายรักซีรีย์เอ็กซ์
หลังความรักหักสะบั้น..ฉันกับเพื่อน
โลกก็เหมือนดาวดับลงหลับใหล
ไม่มีเพื่อนเหมือนโลกนี้ไม่มีใคร
มีหัวใจ เหมือนหัวใจฉันไม่มี
แก้วความรักตกแตก รักแรกสลาย
เหมือนนิยายน้ำเน่าเศร้าเหลือที่
จะมองโลกมุมใดก็ไม่ดี
ผ่านนาทีเหมือนนาทีเป็นปีเดือน
ห้องเรียนคล้ายห้องขัง ฉันนั่งหลับ
ภาพรักแรกแหลกยับ ฉันกับเพื่อน
กว่าจะผ่านพ้นวันแทบฟั่นเฟือน
กว่าจะเลือนลบหายแทบตายชัก
ต่อความสาวที่สาบสูญ แม้นพูนเทวษ
ก็อัพเกรดศิวิไลซ์ให้ใจประจักษ์
ฉันขีดลบจบนิยามของความรัก
ผ่านอกหักเหมือนอกหักไม่ยักพอ
จึ่ง ป๋าขามาช่วยอำนวยสุข
เทกระเป๋าเข้าคลุกบุกถึงหอ
คล้ายเศษฟางพอมีไม่รีรอ
ฉันตกน้ำลอยคอต้องรีบคว้า
ฉันพบโลกใบใหม่เหมือนใจคิด
เปลี่ยนชีวิตเคยมีให้ดีกว่า
ขอฉันคุยบ้างเหอะ เหมือนเดอะสตาร์!”
ทั้งแก้วแหวนนานาวิ่งมาคัล
..แต่ด้วยวัยที่ห่าง.. ก็อย่างว่า
เพียงครึ่งปีการศึกษา ป๋ากับฉัน
ที่แอบซ่อนชายชู้ ป๋ารู้ทัน
เคยข้าวของกำนัลก็พลันเมิน

ที่หน้าเชิดเลิศหรูอยู่หลัดหลัด
ต้องถึงคราวอัตคัด ต้องขัดเขิน
แต่ฉันพาดวงใจมาไกลเกิน
จึงยากเดินหวนกลับไปนับทวน
ฉันเหมือนเลือดเข้าตาเหมือนบ้าคลั่ง
มิอาจนั่งจมปลักกระอักกระอ่วน
จึ่งเลือกเดินเผชิญหน้าเข้าท้าดวล
จะรักนวลสงวนเนื้อไว้เพื่ออะไร
สมบัติแม่น้อยนิดที่ติดตัว
เหมือนรถทัวร์สิบคันวิ่งกันไขว่
จะต้องมัวปิดอู่ช้าอยู่ไย
ต้องรีบทำกำไร ต้องใช้งาน
กิจการรถทัวร์ชั่วประเดี๋ยว
ที่ท่องเที่ยวขี่ขับรถโดยสาร
อาจเพราะเครื่องรถโทรม เพราะโหมงาน
ถูกรถร่วมบริการเข้าหารคิว
ฉันรถเก่าหาวเรอบ้างเผลองีบ
วาสนาชะตาถีบนั่งบีบสิว
เขารถใหม่กินลมแล่นชมวิว
ทิ้งรถเก่าหน้านิ่วคิวไม่มี
เออหนอโลกกลมกลมของชมพู่
ว่ายวนอยู่อย่างนั้นทุกวันวี่
หมุนกลับไปกลับมาชั่วตาปี
เหมือนรถไร้สถานี ไร้ที่ทาง
ชานชาลาสถาบันอันทรงเกียรติ
รุ่นน้องเบียดเข้ามาไม่ซาสร่าง
ชมพู่จึงคล้ายรถปลดระวาง
จอดเคว้งกลางเซียงกงทรงเกียรตินั้น!!!
                                                                                                      (สุขุมพจน์ คำสุขุม : บ้านในหมอก)
อ้างอิง : อริยานุวัตน์ สมาธยกุล. (2556). วรรณกรรมปัจจุบัน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสาคาม.
หน้า 183-185.
การอ่านตีความ เรื่อง โลกกลมกลมของชมพู่ : นิยายรักซีรีย์เอ็กซ์ 
            1. เรื่องโลกกลมกลมของชมพู่ : นิยายรักซีรีย์เอ็กซ์ ผู้ประพันธ์คือสุขุมพจน์ คำสุขุม แต่งด้วย
คำประพันธ์ประเภทกลอนแปด
                2. บทประพันธ์นี้มีสัมผัสใน สัมผัสระหว่างวรรค และสัมผัสระหว่างบท
ตัวอย่าง
หลังความรักหักสะบั้น..ฉันกับเพื่อน
โลกก็เหมือนดาวดับลงหลับใหล
ไม่มีเพื่อนเหมือนโลกนี้ไม่มีใคร
มีหัวใจ เหมือนหัวใจฉันไม่มี
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่ามีสัมผัสในที่เป็นสัมผัสสระ ได้แก่ รัก-หัก  บั้น-ฉัน  เพื่อน-เหมือน  มีสัมผัสในที่เป็นสัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ ดาว-ดับ  หลับ-ใหล
แก้วความรักตกแตก รักแรกสลาย
เหมือนนิยายน้ำเน่าเศร้าเหลือที่
จะมองโลกมุมใดก็ไม่ดี
ผ่านนาทีเหมือนนาทีเป็นปีเดือน
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่ามีสัมผัสระหว่างวรรค ได้แก่ สลาย-ยาย  ที่-ดี  ดี-ที
ห้องเรียนคล้ายห้องขัง ฉันนั่งหลับ
ภาพรักแรกแหลกยับ ฉันกับเพื่อน
กว่าจะผ่านพ้นวันแทบฟั่นเฟือน
กว่าจะเลือนลบหายแทบตายชัก
ต่อความสาวที่สาบสูญ แม้นพูนเทวษ
ก็อัพเกรดศิวิไลซ์ให้ใจประจักษ์
ฉันขีดลบจบนิยามของความรัก
ผ่านอกหักเหมือนอกหักไม่ยักพอ
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่ามีสัมผัสระหว่างบท คือ ชัก-จักษ์
                บทประพันธ์นี้มีโวหารการเขียน 3 ประเภท ได้แก่ บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และ
อุปมาโวหาร ดังนี้
บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่างๆ ตามลำดับเหตุการณ์ การเขียนบรรยายโวหาร จะมุ่งความชัดเจน เขียนตรงไปตรงมา รวบรัด
ตัวอย่าง
หลังความรักหักสะบั้น..ฉันกับเพื่อน
โลกก็เหมือนดาวดับลงหลับใหล
ไม่มีเพื่อนเหมือนโลกนี้ไม่มีใคร
มีหัวใจ เหมือนหัวใจฉันไม่มี
แก้วความรักตกแตก รักแรกสลาย
เหมือนนิยายน้ำเน่าเศร้าเหลือที่
จะมองโลกมุมใดก็ไม่ดี
ผ่านนาทีเหมือนนาทีเป็นปีเดือน
พรรณนาโวหาร มุ่งให้ความแจ่มแจ้ง ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์ แม้เนื้อความที่เขียนจะน้อยแต่เต็มด้วยสำนวนโวหารที่ไพเราะ อ่านได้รสชาติ
ตัวอย่าง
                 จึ่ง ป๋าขามาช่วยอำนวยสุข
เทกระเป๋าเข้าคลุกบุกถึงหอ
คล้ายเศษฟางพอมีไม่รีรอ
ฉันตกน้ำลอยคอต้องรีบคว้า
ฉันพบโลกใบใหม่เหมือนใจคิด
เปลี่ยนชีวิตเคยมีให้ดีกว่า
ขอฉันคุยบ้างเหอะ เหมือนเดอะสตาร์!”
ทั้งแก้วแหวนนานาวิ่งมาคัล
..แต่ด้วยวัยที่ห่าง.. ก็อย่างว่า
เพียงครึ่งปีการศึกษา ป๋ากับฉัน
ที่แอบซ่อนชายชู้ ป๋ารู้ทัน
เคยข้าวของกำนัลก็พลันเมิน
ที่หน้าเชิดเลิศหรูอยู่หลัดหลัด
ต้องถึงคราวอัตคัด ต้องขัดเขิน
แต่ฉันพาดวงใจมาไกลเกิน
จึงยากเกินหวนกลับไปนับทวน
อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยยกตัวอย่างสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง
ฉันพบโลกใบใหม่เหมือนใจคิด
เปลี่ยนชีวิตเคยมีให้ดีกว่า
ขอฉันคุยบ้างเหอะ เหมือนเดอะสตาร์!”
ทั้งแก้วแหวนนานาวิ่งมาคัล
                บทประพันธ์นี้มีโวหารภาพพจน์ 5 ประเภท ได้แก่ อุปมา อติพจน์หรืออธิพจน์ สัญลักษณ์ นามนัย ปฏิปุจฉา ดังนี้
                อุปมา (Simile)  คือ การเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนหรือคล้ายกับอีกสิ่งหนึ่งโดยมีคำเชื่อมดังนี้  คือ เหมือน  เสมือน  เหมือนดั่ง  ดุจ  ประดุจ  ประหนึ่ง  ละม้าย  เสมอ  ปาน  เพียง  ราว  ราว กับ  เทียบ  เทียม  คือ  ฯลฯ
ตัวอย่าง
หลังความรักหักสะบั้น..ฉันกับเพื่อน
โลกก็เหมือนดาวดับลงหลับใหล
ไม่มีเพื่อนเหมือนโลกนี้ไม่มีใคร
มีหัวใจ เหมือนหัวใจฉันไม่มี
                อติพจน์หรืออธิพจน์ (Hyperbole) คือ ภาษาภาพพจน์ที่กล่าวเกินจริงอาจมากหรือน้อยเกินจริงก็ได้
ตัวอย่าง
ฉันเหมือนเลือดเข้าตาเหมือนบ้าคลั่ง
มิอาจนั่งจมปลักกระอักกระอ่วน
                สัญลักษณ์ (Symbol)  คือ  การเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป
ตัวอย่าง
ฉันพบโลกใบใหม่เหมือนใจคิด
เปลี่ยนชีวิตเคยมีให้ดีกว่า
ขอฉันคุยบ้างเหอะ เหมือนเดอะสตาร์!”
ทั้งแก้วแหวนนานาวิ่งมาคัล
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นสัญลักษณ์ คือ เดอะสตาร์ หมายถึง บุคคลที่มีชื่อเสียง บุคคลที่มีฐานะร่ำรวย
                นามนัย (Metonymy)  คือ  การใช้คำอื่นเรียกชื่อสิ่งหนึ่งแทนการเรียกตรงๆ  คล้ายๆ สัญลักษณ์แต่ต่างกันตรงที่นามนัยจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด หรือใช้ชื่อส่วนประกอบสำคัญของสิ่งนั้นแทนสิ่งนั้นทั้งหมด
ตัวอย่าง
เหมือนรถไร้สถานี ไร้ที่ทาง
ชานชาลาสถาบันอันทรงเกียรติ
รุ่นน้องเบียดเข้ามาไม่ซาสร่าง
ชมพู่จึงคล้ายรถปลดระวาง
จอดเคว้งกลางเซียงกงทรงเกียรตินั้น!!!
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นนามนัย คือ เซียงกง หมายถึง อะไหล่รถมือสอง ในที่นี้หมายถึงร่างกายของชมพู่
                ปฏิปุจฉา (Rhetorical question) คือ การใช้โวหารที่เป็นศิลปะของการใช้คำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่มิได้หวังคำตอบ
ตัวอย่าง
ฉันเหมือนเลือดเข้าตาเหมือนบ้าคลั่ง
มิอาจนั่งจมปลักกระอักกระอ่วน
จึ่งเลือกเดินเผชิญหน้าเข้าท้าดวล
จะรักนวลสงวนเนื้อไว้เพื่ออะไร
                จากข้อความ จะรักนวลสงวนเนื้อไว้เพื่ออะไรที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงศิลปะการใช้คำถามที่มิได้ต้องการคำตอบ
                3. กระบวนการตีความบทประพันธ์โลกกลมกลมของชมพู่ : นิยายรักซีรีย์เอ็กซ์
                ผู้ประพันธ์ต้องการสะท้อนภาพของสังคมปัจจุบันที่ตีแผ่ชีวิตของนักศึกษาในสังคมบริโภคนิยม

                                                    
จัดทำโดย
1. นางสาวประกายเดือน                   ดวงพิลา                 รหัสนักศึกษา 543410010305
2. นางสาวปรียาภรณ์                         โนนแก้ว               รหัสนักศึกษา 543410010307
3. นางสาวปิยะพร                              ปะเสนาเว             รหัสนักศึกษา 543410010309
4. นางสาวภาวิณี                                 วงชารี                    รหัสนักศึกษา 543410010316
5. นางสาวยุภาพร                               วาทสิทธิ์                รหัสนักศึกษา 543410010318
6. นางสาวสุพรรษา                            โคตรชมพู             รหัสนักศึกษา 543410010331
คณะครุศาสตร์  สาขาวิชาภาษาไทย   ชั้นปีที่ 4   หมู่ 3  มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 

ลักษณะข้อสอบที่ดี และการบริหารการสอบ

๑. ลักษณะข้อสอบที่ดี

ลักษณะข้อสอบที่ดี
                ในฐานะที่การสอบ มีความสำคัญต่อการศึกษาของเด็กนักเรียนเป็นอันมาก และในฐานะของครู
ที่จะต้องเป็นผู้สร้างและใช้แบบทดสอบนั้นๆ กับเด็ก จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์สำหรับยึดถือ  แบบทดสอบที่มีใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งจะมีคุณภาพดีเพียงใดจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
                ๑. มีความเที่ยงตรง (Validity)  หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบทั้งฉบับที่สามารถวัดได้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการ หรือตรงกับสิ่งที่กำหนดไว้
                ความเที่ยงตรง หมายถึง คุณสมบัติที่จะนำให้ผู้ใช้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ แบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงสูง ก็คือแบบทดสอบที่สามารถทำหน้าที่วัดสิ่งที่เราต้องการจะวัดได้อย่างถูกต้องตามความมุ่งหมาย คือคะแนนจากข้อสอบนั้นสามารถให้ความหมายแก่เราตรงตามที่เราปรารถนา (ชวาล แพรัตกุล, ๒๕๑๘ : ๑๒๔)
                ลักษณะของความเที่ยงตรง แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้
                                ๑.๑ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content Validity)  หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดได้ตรงตามเนื้อหาที่ได้ทำการสอนไป หรือตรงกับเนื้อหาที่กล่าวไว้ในหลักสูตร หรือ
ตรงกับเนื้อหาที่อยู่ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร กล่าวคือ เมื่อทำการสอนเนื้อหาเรื่องใดก็ทำการออกข้อสอบวัดให้ตรงกับเนื้อหานั้น
                                ความบกพร่องของข้อสอบในเรื่องนี้ก็มักจะได้แก่ที่ถามไม่ทั่วถึง หรือบางทีก็ตบแต่งโจทย์เสียสั้นหรือหรูหราเกินไปจนเด็กงง ไม่ทราบว่าครูถามอะไรกันแน่ วิธีแก้ไขเรื่องนี้ก็โดยกลับไปพลิกดูตารางวิเคราะห์หลักสูตรของวิชานั้นเสียใหม่ แล้วเกาะติดกับตารางนั้น และออกข้อสอบไปตามเนื้อวิชา เท่าที่ปรากฏอยู่ในตารางวิเคราะห์นั้นๆ
                                ความเที่ยงตรงชนิดนี้ใช้หลักสูตรภาคเนื้อวิชาเป็นเกณฑ์สำหรับตัดสินชี้ขาด ซึ่งก็คือ
ใช้เนื้อวิชาเป็นตัวเกณฑ์นั่นเอง คือใช้เนื้อวิชาเป็นหลักสำหรับวินิจฉัยว่า ข้อสอบฉบับนี้สามารถวัดความรู้ของเด็กไทยในเรื่องนี้ เวลานี้ได้จริงหรือไม่
                                ๑.๒ ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Construction Validity)  หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ ได้ตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรภาคจุดมุ่งหมาย หรือวัดได้ตรงกับพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน หรือตรงกับพฤติกรรมที่อยู่ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร กล่าวคือ เมื่อจะสอนเนื้อหาเรื่องใดผู้สอนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ล่วงหน้าว่า จะให้ผู้เรียนเกิดสมรรถภาพสมองด้านใดแล้วจึงทำการสอนและสอบให้ตรงกับพฤติกรรมที่ต้องการ
ความบกพร่องของข้อสอบในเรื่องนี้ก็มักจะได้แก่การสอบวัดที่เข้มข้นแต่เพียงจำ-จำ
ด้านเดียว ไม่ถามให้เด็กแปลความ ตีความ ขยายความ และอื่นๆ ตามที่ควร วิธีแก้ไขก็โดยกลับไปดูตารางวิเคราะห์หลักสูตรของวิชานั้นเสียใหม่ ดูตั้งแต่การแปลความหมายของพฤติกรรมออกเป็นทั้ง ๓ ประการ
เลยทีเดียว แล้วก็แต่งคำถามให้มีจำนวนข้อหรือคะแนนเป็นสัดส่วนสอดคล้องและครบถ้วนกับตัวเลข
ในตารางวิเคราะห์นั้นๆ
                                ๑.๓ ความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์ (Concurrent Validityหมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน (ปัจจุบัน) ของผู้เรียน หรือกล่าวได้ว่าเป็นความสามารถของแบบทดสอบที่ช่วยให้ครูผู้สอนกะประมาณสถานภาพอันแท้จริงของผู้เรียนในปัจจุบัน
ได้ถูกต้อง
                                ความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์ไม่สามารถถามการวัดกันได้จริงๆ ในแบบทดสอบ ต้องเอาคะแนนของเด็กไปอนุมานร่วมกับความสังเกตพิจารณาของผู้สอน หรือเท้าความโดยอ้อมเอาเองอีกทีหนึ่ง
                                วิธีหาความเที่ยงตรงชนิดนี้ก็โดยตรวจดูว่าแบบทดสอบฉบับนั้นสามารถให้คะแนนกระจายออกเป็นระยะกว้างหรือไม่ และคะแนนเหล่านั้นสอดคล้องกับความเก่ง-อ่อน หรือกับความฉลาด-โง่ของเด็กตรงตามสภาพข้อเท็จจริงและประจักษ์พยานเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันหรือเปล่า ถ้าข้อทดสอบฉบับใดสามารถให้คะแนนกระจายจากจวนเต็มจนถึงจวนศูนย์ ไม่เกาะกันเป็นกระจุกโตๆ ที่ปลายใดปลายหนึ่งแล้วก็จัดว่าแบบทดสอบฉบับนั้นมีความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์ได้ คือเป็นแบบทดสอบที่สามารถจำแนกเด็กออกเป็นประเภทๆ ได้อย่างถูกต้องตรงตามสภาพความจริงของเด็กนั้นแล้ว วิธีหาความเที่ยงตรงชนิดนี้อีกแบบหนึ่ง
ก็โดยเอาคะแนนสอบของเด็กแต่ละคนมาเรียงกันตามอันดับ ให้ลดหลั่นกันจากศูนย์ลงไปหาต่ำ แล้วนำอันดับนั้นไปเทียบกับความสามารถของเขาตามที่เราสังเกตเห็นจากขณะที่สอนในชั้นว่าอันดับสองชนิดนี้สอดคล้องกันมากน้อยปานใดก็ตีราคาความเที่ยงตรงไปตามนั้นๆ ก็ได้ นี่ก็คือเราใช้สภาพความจริงตามที่
เราสังเกตเห็นปัจจุบันเป็นตัวเกณฑ์
                                ๑.๔ ความเที่ยงตรงตามพยากรณ์ (Predictive Validity)  หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของผู้เรียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กล่าวคือแบบทดสอบ
ชุดนั้นสามารถให้คะแนนสอดคล้องกับผลการเรียนหรือความสำเร็จในอนาคตได้ถูกต้อง
                                ความเที่ยงตรงตามพยากรณ์ก็คือการสะกดรอยติดตามดูผลการสอบในปัจจุบันว่ามีคุณค่าสามารถทายอนาคตได้แม่นยำปานใด แบบเดียวกับเรื่องหมอดูลายมือนั่นเอง ถ้าเด็กทำข้อสอบฉบับใด
ได้คะแนนมากๆ แล้วปรากฏว่าเขาก็มักจะเรียนวิชานั้นหรือวิชาอื่นในสกุลนั้นๆ ในเทอมต่อไป ปีต่อไป
ได้สำเร็จเป็นอย่างดีด้วยแล้ว เราก็เรียกข้อสอบฉบับนั้นว่ามีความเที่ยงตรงตามพยากรณ์มาก
                                วิธีหาความเที่ยงตรงชนิดนี้ ก็โดยไปเทียบหาความสัมพันธ์สอดคล้องระหว่างคะแนนของแบบทดสอบนั้นกับผลสัมฤทธิ์ข้างหน้า โดยยกให้ผลสัมฤทธิ์ในอนาคตเป็นตัวเกณฑ์
                ๒. มีความเชื่อมั่น (Reliability)  หมายถึง คุณลักษณะของแบบทดสอบทั้งฉบับที่สามารถวัดได้คงที่คงวา ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะจะทำการสอบใหม่กี่ครั้งก็ตาม
                                วิธีหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ ที่นิยมใช้มี ๔ วิธี คือ
                                                ๒.๑ แบบสอบซ้ำ
                                                ๒.๒ แบบคู่ขนาน
                                                ๒.๓ แบบแบ่งครึ่งฉบับ
                                                ๒.๔ แบบ K-R
                ๓. มีความยุติธรรม (Fair)  หมายถึง แบบทดสอบที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบในหมู่ผู้เข้าสอบด้วยกัน ไม่เปิดโอกาสให้เด็กทำข้อสอบได้โดยการเดา ไม่ให้เด็กขี้เกียจ และไม่สนใจการเรียน
ทำข้อสอบได้ดี ผู้ที่ทำข้อสอบได้ควรจะเป็นเด็กที่เรียนเก่ง และขยันเท่านั้น วิธีการที่จะช่วยให้เกิด
ความยุติธรรม ได้แก่ อออกข้อสอบให้คลุมหลักสูตรและมีจำนวนมากข้อ ข้อสอบที่ใช้สอบกับเด็กทุกคนต้องเป็นชุดเดียวกัน และเป็นเรื่องที่เด็กเรียนมาแล้ว
                ๔. ถามให้ลึก (Searching)  หมายถึง ข้อสอบแต่ละข้อนั้นจะต้องไม่ถามผิวเผินหรือไม่ถามประเภทความรู้ความจำ แต่ต้องถามโดยให้นักเรียนนำความรู้ความเข้าใจไปคิดดัดแปลง แก้ปัญหาแล้วจึงจะตอบได้ อันได้แก่ถามพฤติกรรมที่สูงกว่าความรู้ความจำ นับว่าเป็นคำถามที่นำให้เด็กต้องใช่สมองคิดค้นจึงจะ
ตอบได้ เด็กที่สักแต่ว่าจำตามผิวๆ จะไม่มีโอกาสทำได้ถูกนัก ใครที่ได้คะแนนสูงๆ จากข้อสอบที่ถามลึกอย่างนี้จะต้องเชื่อแน่ได้ว่าเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งปัญญาและทักษะในวิชานั้นๆ มิใช่เป็นผู้ที่มีแต่ความจำเยี่ยง
นักลอกแบบ หรือสักแต่รู้อย่างเถรตรงตามตำราท่าเดียว แบบทดสอบที่ดีต้องการจะวัดความลึกซึ้งของวิทยาการตามแนวดิ่งมากกว่าที่จะวัดตามแนวกว้างว่ารู้มามากน้อยปานใด คำถามสมัยใหม่จะไม่ถามแค่ผิวๆ ความรู้ แต่จะพยายามล้วงลึกลงไปเบื้องใต้พื้นความรู้ เพื่อวัดดูว่าเด็กแต่ละคนมีสมรรถภาพหรือมีของอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในสมองบ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้นำสมรรถภาพของเขาเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น
นั่นคือ ข้อสอบที่ดีจะต้องถามลึกตั้งแต่ระดับความเข้าใจในการแปลความ ตีความ และขยายความลงไป
                ๕. ต้องยั่วยุ (Exemplary)  หมายถึง แบบทดสอบที่ด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่าย วิธีการ
ที่จะให้ข้อสอบมีความยั่วยุให้เด็กอยากตอบก็โดยเรียงข้อสอบจากข้อง่ายไปหาข้อยาก ใช้ข้อสอบรูปภาพบ้าง รูปแบบของข้อสอบเรียบร้อย
                ๖. ต้องจำเพาะเจาะจง (Definition)  หมายถึง ข้อสอบที่มีแนวทางหรือทิศทางการถามการตอบชัดเจน ไม่คลุมเครือ ไม่แฝงกลเม็ดให้เด็กงง เด็กไม่ได้คะแนนเนื่องจากไม่สามารถจะตอบได้ดีกว่าไม่ได้คะแนนเนื่องจากไม่เข้าใจคำถาม และความไม่จำเพาะเจาะจงของข้อสอบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้กับข้อสอบ
ทุกชนิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้เขียนข้อสอบว่าออกข้อสอบให้รัดกุมได้เพียงใด
                ๗. ต้องเป็นปรนัย (Objective) ความเป็นปรนัยของแบบทดสอบไม่ได้หมายถึงข้อสอบแบบ
กาถูก-ผิด จับคู่ เติมคำ ตอบสั้นๆ และเลือกตอบ เพราะแบบทดสอบชนิดต่างๆ เหล่านี้เป็นแต่เพียงรูปแบบ หรือโครงสร้างของคำถามที่จะนำไปสู่ความเป็นปรนัยเท่านั้น และความเป็นปรนัยเป็นคุณลักษณะของแบบทดสอบไม่ใช่ชนิดของข้อสอบ
คุณสมบัติของปรนัย มี ๓ ประการ คือ
                                ๑) ตั้งคำถามได้ชัดเจน ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนเข้าใจความหมายตรงกัน
                                ๒) ตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน แม้ว่าจะตรวจหลายครั้งหรือตรวจหลายคนก็ตาม
                                ๓) แปลความหมายคะแนนได้เหมือนกัน ลักษณะเช่นนี้ถ้าเป็นข้อสอบที่ผู้เรียนได้คะแนนแต่ละข้อไม่เท่ากัน ได้แก่ ข้อสอบอัตนัย หรือตอบสั้นๆ หรือเติมคำก็ไม่สามารถแปลความหมายของ
คะแนนได้
                ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียงอาจเป็นปรนัยก็ได้ ถ้ามีคุณสมบัติครบทั้ง ๓ ประการเบื้องต้น
แต่ในทางตรงกันข้ามข้อสอบแบบเลือกตอบ หรือกาถูก-ผิด ฯลฯ อาจจะไม่เป็นปรนัยก็ได้ ถ้ามีคุณสมบัติ
ไม่ครบทั้ง ๓ ประการ
                ๘. ต้องมีประสิทธิภาพ (Efficiency)  หมายถึง แบบทดสอบที่มีจำนวนข้อมากพอประมาณ
ใช้เวลาสอบพอเหมาะ ประหยัดค่าใช้จ่าย จัดทำข้อสอบด้วยความประณีต ตรวจให้คะแนนได้รวดเร็ว รวมถึงสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สภาพห้องสอบเรียบร้อย ไม่มีสิ่งรบกวนผู้เข้าสอบ กรรมการคุมสอบรัดกุม เป็นต้น
                ๙. ต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty)  หมายถึง คุณสมบัติของข้อสอบแต่ละข้อที่ไม่ยาก
หรือง่ายมาก เพราะข้อสอบที่ยากหรือง่ายมากไม่สามารถแยกได้ว่าผู้เข้าสอบเหล่านั้นใครเก่งหรือใครอ่อน นั่นคือ ข้อสอบแต่ละข้อที่ดีต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ (ปานกลาง) ค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อจะทราบได้โดยการวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนค่าความยากง่าย ได้แก่ p
                ในข้อสอบที่ดี เราต้องการให้มีคำถามที่มีเด็กตอบถูกบ้างผิดบ้าง ฉะนั้นข้อสอบที่ยากสุดและง่ายสุดจึงไม่มีประโยชน์ เพราะเด็กพร้อมใจกันทำผิดหมดหรือถูกหมดทั้งชั้น กลายเป็นทุกคนไม่ได้คะแนนหรือ
ทุกคนได้คะแนน ขึ้นลงพร้อมๆ กันหมด เราเลยไม่รู้ว่าใครเก่งกว่ากันแน่ นับว่าเปลืองกระดาษสำหรับคำถามข้อนั้นเปล่าๆ
                ๑๐. ต้องมีอำนาจจำแนก (Discrimination)  หมายถึง คุณสมบัติของข้อสอบแต่ละข้อที่สามารถ
แยกคนกลุ่มเก่งออกจากคนกลุ่มอ่อนได้ หรือข้อสอบแต่ละข้อที่คนกลุ่มเก่งทำถูก คนกลุ่มอ่อนจะทำไม่ถูก ลักษณะเช่นนี้เรียกว่ามีอำนาจจำแนกสูง ถ้าข้อสอบข้อใดทั้งคนกลุ่มอ่อนและกลุ่มเก่งทำถูกพอๆ กัน เรียกว่าข้อสอบนั้นไม่มีอำนาจจำแนก ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบแต่ละข้อจะทราบได้โดยการวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อเช่นเดียวกับการหาค่าความยากง่าย สัญลักษณ์ที่นิยมใช้แทนค่าอำนาจจำแนกได้แก่ r
                อำนาจจำแนก หมายความว่าเด็กเก่งมักจะเป็นผู้ตอบถูกมากกว่าเด็กอ่อนเสมอ คือถ้าเป็นข้อสอบดีแล้วโอกาสที่เด็กอ่อนจะทำถูกนั้นมีน้อยเหลือเกิน เด็กเก่งเอาไปกินหมดทุกที ยิ่งเก่งมากก็ยิ่งมีโอกาสถูกมาก ถ้าเก่งรองก็มีโอกาสถูกน้อยลงๆ ตามลำดับ  ฉะนั้น ข้อคำถามอุดมคติจึงต้องมีเด็กตอบถูกครึ่งผิดครึ่งเสมอ และครึ่งถูกนั้นจำเพาะจะต้องเป็นคนเก่งเสียด้วยจึงจะถูกใจเรา
                อำนาจจำแนกที่แท้ก็คือความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์นั่นเอง ข้อสอบที่ดีจะต้องให้คะแนน
กระจายกว้างตั้งแต่จวนเต็มจนถึงใกล้ศูนย์ และมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ตรง ๕๐% ด้วย นั่นคือ สามารถวัดเด็กได้ทุกๆ ระดับความสามารถอย่างละเอียดลออครบถ้วน ตั้งแต่ฉลาดยิ่งจนถึงโง่ยอด     
  
สรุป
ข้อสอบใดมีลักษณะครบ ๑๐ ประการ ได้แก่ มีความเที่ยงตรง มีความเชื่อมั่น มีความยุติธรรม
ถามให้ลึก ต้องยั่วยุ ต้องจำเพาะเจาะจง ต้องเป็นปรนัย ต้องมีประสิทธิภาพ ต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ
และต้องมีอำนาจจำแนกก็ถือได้ว่าเป็นข้อสอบที่ดีมาก ในเชิงปฏิบัติแล้วข้อสอบโดยทั่วๆ ไปที่สร้างกันขึ้นมักจะมีคุณสมบัติไม่ครบ อย่างมากก็มีเพียง ๓-๔ ประการเท่านั้น ทั้งนี้ถ้าอาศัยการวิเคราะห์วิจัยเข้าช่วย
เพื่อปรับปรุงข้อสอบแล้วก็หวังได้ว่าข้อสอบคงจะมีคุณภาพดีขึ้น ผลดีก็จะเกิดกับเด็กนักเรียน  อันจะเป็น
ผลสะท้อนต่อความเจริญในด้านการศึกษาของชาติบ้านเมือง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูทุกคนที่จะต้องช่วยกันพัฒนาในด้านการออกข้อสอบ โดย
                ๑. ขยัน  หมั่นฝึกออกข้อสอบบ่อยๆ
                ๒. ใจกว้าง  ให้เพื่อนครูด้วยกันช่วยกันดูและวิจารณ์ข้อสอบ
                ๓. พยายาม  แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เพื่อให้ข้อสอบมีคุณภาพดีขึ้น
                ๔. ค้นคว้า  หาความรู้เพิ่มเติมโดยการอ่านให้มาก ฟังให้มาก และคิดอย่างลึกซึ้ง
                ดังนั้น เมื่อนักเรียนสอบตกกันมากๆ ครูยังไม่ควรลงโทษเด็กเลยทีเดียว ควรพิจารณาดูข้อสอบเสียก่อนว่ามีคุณภาพดีแล้ว หรือยังมีข้อบกพร่อง (วิเชียร เกตุสิงห์, ๒๕๑๗ : ๓๒)

๒. การบริหารการสอบ

การบริหารการสอบ
                การสอบเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนการสอน ผลการสอบจะมี
ความถูกต้อง เที่ยงตรง และเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด นอกจากจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบบทดสอบแล้ว
ยังขึ้นอยู่กับการบริหารการสอบ เพราะถ้าการบริหารการสอบไม่มีประสิทธิภาพก็จะส่งผลต่อคุณภาพของการสอบ ผลสอบที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง  เมื่อนำคะแนนผลการสอบที่ได้ไปประเมินผลหรือตัดสินผลการเรียนก็ย่อมเกิดความผิดพลาดได้ แต่ถ้ามีการบริหารการสอบที่มีประสิทธิภาพ
ก็จะช่วยให้ได้ผลการสอบที่มีคุณภาพ มีความคลาดเคลื่อนน้อยซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินผลหรือตัดสินผลการเรียนที่มีความถูกต้อง และเชื่อถือได้ ดังนั้นในการบริหารการสอบ ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากร
ที่เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน กำหนดแนวปฏิบัติให้ชัดเจน ดำเนินการตามแผน และแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลการสอบมีคุณภาพและนำไปใช้ในการประเมินผล เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการบริหารการสอบ
                การบริหารการสอบเป็นกระบวนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับ การวางแผนการสอบ การดำเนิน
การสอบ และการนำผลการสอบไปใช้สำหรับประเมินผลการเรียนและรายงานผลการเรียนต่อผู้เกี่ยวข้อง
การบริหารการสอบจึงมีความสำคัญ ดังนี้
                ๑. ทำให้การดำเนินการสอบมีความเป็นระบบ เป็นไปตามแผนการสอบ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
                ๒. ช่วยทำให้ได้ผลการสอบที่มีความถูกต้อง เที่ยงตรง และเชื่อถือได้ ทำให้เกิดความมั่นใจ
ต่อการนำผลการสอบไปใช้ในการประเมินผลการเรียนมากยิ่งขึ้น
                ๓. ทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และผู้สอบได้มีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการสอบตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน
                ๔. ทำให้มีการนำผลการสอบไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ทั้งในด้านการปรับปรุง และพัฒนาผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดจนการรายงานผลการเรียนต่อผู้ปกครอง
                ๕. ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้สอบได้แสดงความสามารถและพัฒนาตนเองเต็มศักยภาพ

หลักการและกระบวนการบริหารการสอบ
                ในการบริหารการสอบที่จะทำให้ได้ผลการสอบมีความถูกต้อง เชื่อถือได้ และป้องกัน
ความคลาดเคลื่อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการสอบ จึงควรใช้หลักการบริหารการสอบดังต่อไปนี้
                ๑. มีจุดมุ่งหมาย โดยกำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้ชัดเจน เพื่อเป็นทิศทางในการดำเนิน
การสอบให้มีประสิทธิภาพ
                ๒. มีแผนการดำเนินงาน โดยมีการวางแผนการสอบอย่างรอบคอบว่าจะสอบอะไร สอบอย่างไร สอบเมื่อไร สอบที่ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
                ๓. มีแนวปฏิบัติ โดยกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการสอบที่ชัดเจนและแจ้งให้บุคลากร
ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ
                ๔. มีการเตรียมความพร้อม โดยดำเนินการให้อาจารย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการสอบมีความพร้อมในการจัดทำแบบทดสอบ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการสอบ สถานที่สอบ และการดำเนินการสอบ
                ๕. มีความสะดวก โดยดำเนินการเอื้ออำนวยให้ผู้เข้าสอบได้รับความสะดวกสูงสุด มีการรบกวนน้อยที่สุด เพื่อให้ผู้เข้าสอบได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำแบบทดสอบอย่างเต็มศักยภาพ
                ๖. มีความยุติธรรม โดนดำเนินการสอบให้ผู้เข้าสอบได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ทั้งในเรื่องการแจกและเก็บแบบทดสอบ การชี้แจงในการสอบ การใช้เวลาในการสอบ และการกำกับการสอบ
                ๗. มีประสิทธิผล โดยมีการกำกับดูแลให้การดำเนินการสอบเป็นไปตามแผนการสอบ และ
แนวปฏิบัติในการสอบอย่างเคร่งครัดและบรรลุจุดมุ่งหมายของการสอบ
                สำหรับกระบวนการบริหารการสอบประกอบด้วยการดำเนินงานที่สำคัญ ๓ ขั้นตอน ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันคือ การวางแผนการสอบ การดำเนินการสอบ การดำเนินการสอบและการนำผลสอบไปใช้


การวางแผนการสอบ
                การวางแผนการสอบเป็นการเตรียมการก่อนสอบเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบ การจัดชุดแบบทดสอบ การเขียนคำชี้แจงของแบบทดสอบ การจัดพิมพ์ข้อสอบ การกำหนดแผนการสอบ
การจัดสถานที่สอบและห้องสอบ การเตรียมอุปกรณ์การสอบ การเตรียมผู้ดำเนินการสอบหรือ
ผู้กำกับห้องสอบ ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดดังต่อไปนี้
                ๑. การสร้างแบบทดสอบ
การสร้างแบบทดสอบถือว่าเป็นภาระงานที่สำคัญของครูผู้สอน หรือผู้ที่รับผิดชอบในการประเมินผล ซึ่งจะต้องจัดสร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพก่อนที่จะนำแบบทดสอบไปใช้ต่อไป
ซึ่งหลักทั่วไปในการสร้างแบบทดสอบมีขั้นตอนที่สำคัญ ๔ ขั้นตอน ดังนี้
                                ๑.๑ การวางแผนสร้างแบบทดสอบ โดยดำเนินการ ดังนี้
                                                ๑) แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการสร้างแบบทดสอบ
                                                ๒) กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบทดสอบให้ชัดเจน โดยระบุสิ่งที่ต้องการทดสอบ กลุ่มเป้าหมายที่จะทดสอบและผลการนำผลการทดสอบไปใช้
                                                ๓) วิเคราะห์หลักสูตร โดยวิเคราะห์เกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัด และเนื้อหาวิชาที่ต้องการวัด
                                                ๔) สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร หรือตารางกำหนดรายละเอียดของการสร้างแบบทดสอบเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการสร้างแบบทดสอบ
                                ๑.๒ การเตรียมงานเขียนข้อสอบและลงมือเขียนข้อสอบฉบับร่าง (Draft)
                                ๑.๓ การทดลองสอบ (Try Out) เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับการประเมินและปรับปรุงแบบทดสอบ ซึ่งจะช่วยให้ได้แบบทดสอบที่มีคุณภาพ
                                ๑.๔ การประเมินผลแบบทดสอบ โดยการวิเคราะห์รายข้อเพื่อคัดเลือก ปรับปรุงข้อสอบ และการวิเคราะห์ทั้งฉบับ เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบในด้านความเชื่อมั่น และความเที่ยงตรง
๒. การจัดชุดแบบทดสอบ
                กรอนลันด์ (Gronlund) ได้ให้แนวคิดว่า การจัดชุดแบบทดสอบให้เป็นระบบต้องพิจารณาจากองค์ประกอบต่อไปนี้ คือ
                                ๑) ชนิดของข้อสอบที่ใช้
                                ๒) พฤติกรรมที่จะวัด
                                ๓) ความแตกต่างของข้อสอบแต่ละวิชา
                                ๔) เนื้อหาที่จะวัด
                ดังนั้น ในการจัดชุดแบบทดสอบจึงควรจัดเรียงลำดับข้อสอบตามการใช้ความสามารถของผู้สอบจากระดับที่ง่ายไปถึงระดับที่ยาก คือ ข้อสอบแบบถูก-ผิด แบบจับคู่ แบบคำตอบสั้น แบบเลือกตอบ และแบบความเรียงหรืออัตนัย
                คูบิสไซน์และบอริช (Kubisszyn and Borich) ได้เสนอแนวทางการจัดชุดแบบทดสอบไว้ดังนี้
                                ๑) ควรจัดข้อสอบที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันหรือชนิดเดียวกันไว้ในตอนเดียวกัน
                                ๒) การจัดเรียงข้อสอบจากชนิดที่ง่าย (แบบถูก-ผิด) ไปจนถึงชนิดที่ยาก (แบบความเรียง)
                                ๓) ควรจัดเรียงข้อสอบให้สามารถอ่านได้ง่าย โดยจัดระยะรูปแบบการพิมพ์ข้อสอบไม่ให้อัดแน่นจนเกินไป
                                ๔) ต้องจัดให้ตัวคำถามและตัวเลือกอยู่ในหน้าเดียวกัน
                                ๕) ควรจัดให้แผนภาพ รูปภาพ หรือคำอธิบายเกี่ยวกับภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อสอบและข้อสอบ (คำถามและตัวเลือก) อยู่ใกล้กัน โดยควรให้อยู่ก่อนถึงตัวข้อสอบและให้อยู่หน้าเดียวกันด้วย
                                ๖) ควรจัดเรียงตัวเลือกที่ถูกหรือคำตอบแบบสุ่ม หลีกเลี่ยงการจัดเรียงที่เป็นระบบ
อย่างใดอย่างหนึ่ง
                                ๗) ควรกำหนดวิธีการตอบข้อสอบให้ชัดเจนว่าต้องการให้ตอบในแบบทดสอบหรือ
ในกระดาษคำตอบ
                                ๘) เว้นที่ว่างให้เพียงพอกับการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับผู้เข้าสอบและการสอบ เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว รายวิชาที่สอบ
                                ๙) ตรวจสอบคำชี้แจงของแบบทดสอบว่าเขียนได้ครอบคลุม ชัดเจนเพียงใด คำชี้แจงแนะนำควรประกอบด้วยจำนวนข้อสอบ วิธีการตอบข้อสอบ หลักการเลือกคำตอบ และเกณฑ์การให้คะแนน
                                ๑๐) ตรวจทานแบบทดสอบให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ ทั้งในด้านรูปแบบของข้อสอบ
การจัดเรียงข้อสอบ ภาษาที่ใช้ก่อนจะจัดพิมพ์แบบทดสอบต่อไป ซึ่งอาจใช้แบบตรวจสอบการจัดชุดแบบทดสอบเป็นเครื่องมือดำเนินการ ดังนี้
  
แบบตรวจสอบการจัดชุดแบบทดสอบ
(Test Assembly Checklist)
คำชี้แจง โปรดกาเครื่องหมาย / ลงในช่องที่ตรงกับความเป็นจริงเกี่ยวกับแบบทดสอบ

รายการ
ใช่
ไม่ใช่
๑. จัดเรียงข้อสอบชนิดเดียวกันไว้ในตอนเดียวกัน


๒. จัดเรียงข้อสอบจากชนิดที่ง่ายไปหาชนิดที่ยาก


๓. จัดพิมพ์ข้อสอบให้สามารถอ่านได้สะดวกและง่าย


๔. จัดตัวคำถามและตัวเลือกอยู่ในหน้าเดียวกัน


๕. จัดแผนภาพหรือข้อมูลสนับสนุนข้อสอบไว้ก่อนถึงตัวข้อสอบ
     และอยู่ในหน้าเดียวกัน


๖. จัดเรียงคำตอบที่ถูกแบบสุ่ม


๗. กำหนดวิธีการตอบข้อสอบที่ชัดเจน


๘. เว้นที่ว่างไว้เพียงพอสำหรับการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการสอบ


๙. มีคำชี้แจงแนะนำสำหรับการตอบที่ชัดเจน


๑๐. มีการตรวจแก้แบบทดสอบที่ผิดพลาดแล้ว


๑๑. จัดแบบทดสอบให้มีความยุติธรรมสำหรับผู้เข้าสอบทุกคน


(ปรับปรุงจาก Kubiszyn, Tom and Borich, Gary)

                ๓. การเขียนคำชี้แจงของแบบทดสอบ
                คำชี้แจงของแบบทดสอบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแบบทดสอบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจในการทำข้อสอบให้แก่ผู้สอบปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และช่วยป้องกันปัญหา หรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการสอบ ดังนั้นในแบบทดสอบจึงต้องมีคำชี้แจงไว้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้สอบ
ซึ่งแทรกซ์เลอร์ (Payne, Citing in Traxler) ได้ให้แนวทางในการเขียนคำชี้แจงของแบบทดสอบไว้
๗ ประการ ดังนี้
                                ๑) ต้องเขียนคำชี้แจงให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบเข้าใจในจุดประสงค์ของการสอบ
                                ๒) เขียนคำชี้แจงให้มีความสมบูรณ์ ชัดเจน รัดกุมและเฉพาะเจาะจงที่สะดวกต่อการปฏิบัติ
                                ๓) สิ่งที่สำคัญหรือกิจกรรมใดที่ต้องการเน้นย้ำให้แสดงด้วยข้อความที่ขีดเส้นใต้
อักษรตัวหนาหรือตัวเอน
                                ๔) เขียนคำชี้แจงแนะนำให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบมีความเข้าใจครอบคลุม
ทั้งก่อนการสอบ ระหว่างการสอบ และหลังการสอบ
                                ๕) ควรทดลองให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบได้อ่านคำชี้แจงก่อนเพื่อตรวจสอบ
ความเข้าใจ แล้วปรับปรุงแก้ไขให้คำชี้แจงมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
                                ๖) ควรรักษารูปแบบของการเขียนคำชี้แจงในแบบทดสอบแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน
ให้อยู่ในรูปแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน
                                ๗) ในบางกรณีอาจต้องอธิบายคำชี้แจงเพิ่มเติมมากกว่าที่เขียนไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนวัยเด็ก ผู้เรียนที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรม เช่น ผู้เรียนจากต่างชาติ ผู้เรียนทางการศึกษาพิเศษ
                                ๘) คำชี้แจงควรประกอบด้วย จุดมุ่งหมายของการวัด ลักษณะของแบบทดสอบ
จำนวนข้อสอบ เวลาที่ใช้ในการสอบ วิธีการตอบและตรวจให้คะแนน
                                ๙) ถ้าแบบทดสอบฉบับนั้น ประกอบด้วยข้อสอบหลายชนิด อาจเขียนคำชี้แจงในภาพรวมที่ระบุถึงลักษณะของแบบทดสอบทั้งฉบับ จำนวนข้อสอบในแต่ละชนิด เวลาที่ใช้ในการสอบ และควรเขียนคำชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้มีลักษณะเฉพาะตามลักษณะชนิดของข้อสอบ
                                ๑๐) หากจำเป็นต้องการระบุเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำตอบและการตรวจให้คะแนน ควรกำหนดไว้ในคำชี้แจงด้วย เช่น การตรวจให้คะแนนมีการหักคะแนนการเดาหรือไม่ ต้องระบุให้ชัดเจน
                                ๑๑) ถ้ากำหนดให้ตอบในกระดาษคำตอบ ควรชี้แจงให้ผู้สอบระมัดระวังในการตอบโดยตอบให้ตรงกับข้อคำถามแต่ละข้อด้วย
                                ๑๒) ถ้าต้องการจะนำแบบทดสอบไปใช้ในโอกาสต่อไป ต้องชี้แจงให้ผู้สอบทราบและห้ามทำเครื่องหมายหรือขีดเขียนใดๆ ลงในแบบทดสอบ
                การเขียนคำชี้แจงจะมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอบ ระดับวัย
ของผู้สอบ และความคุ้นเคยต่อคำชี้แจงของผู้สอบว่ามีมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องนำมาพิจารณาด้วย
                ๔. การจัดพิมพ์ข้อสอบ
                การจัดพิมพ์ข้อสอบเป็นขั้นตอนของการผลิตหรือจัดทำแบบทดสอบ (Reproducting the test)
ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อนวันดำเนินการสอบ ในการจัดพิมพ์ข้อสอบมีแนวปฏิบัติดังนี้
                                ๑) จัดพิมพ์ข้อสอบให้สะดวก และง่ายต่อการอ่านสำหรับผู้สอบ และผู้ตรวจข้อสอบ
โดยเว้นระยะระหว่างตัวข้อสอบแต่ละข้อและตัวเลือกให้พอเหมาะ อย่าให้ชิดกันจนเกินไป
                                ๒) การพิมพ์ข้อสอบต้องให้มีความถูกต้อง ชัดเจน ทั้งในด้านตัวอักษร ภาษา แผนภาพ แผนภูมิ หรือข้อมูลที่เป็นส่วนประกอบของข้อสอบ
                                ๓) การจัดทำแบบทดสอบต้องมีจำนวนเกินกว่าจำนวนที่ต้องการเสมอ โดยอาจให้มีจำนวนเกินกว่าที่จะใช้จริง ๕-๑๐ ชุด
                                ๔) การพิมพ์ข้อสอบแบบเลือกตอบ ตัวคำถามและตัวเลือกควรจัดเรียงให้อยู่ในแนวดิ่ง
เป็นสองส่วนของแต่ละหน้า
๕) การพิมพ์ข้อสอบแบบถูก-ผิด อาจจัดพิมพ์ส่วนที่จะให้ตอบถูกหรือผิดโดย
การกาเครื่องหมาย / หรือ × หรือเขียนวงกลม ขีดเส้นใต้ไว้ด้านหน้า (ทางซ้าย) หรือด้านหลัง (ด้านขวา)
ของตัวข้อสอบก็ได้ และอาจให้ผู้สอบทำข้อสอบในตัวข้อสอบได้เลย
                                ๖) การพิมพ์ข้อสอบแบบจับคู่ ควรพิมพ์ให้รายการทั้งสองที่เป็นคำถามและคำตอบ
อยู่ในหน้าเดียวกัน
                                ๗) ในกรณีที่ข้อสอบบางข้อมีแผนภาพ รูปภาพ ตาราง หรือข้อมูลที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของข้อสอบ ควรจัดพิมพ์ไว้ใกล้กับตัวคำถามและควรอยู่ในหน้าเดียวกัน เพื่อให้สะดวกต่อการตอบข้อสอบของผู้สอบ
                                ๘) ข้อสอบแบบเติมคำ หรือตอบแบบสั้น ควรเว้นที่ว่างสำหรับเขียนตอบไว้ต่างหาก
จากตัวคำถาม โดยเรียงลำดับตามแนวดิ่ง
                                ๙) ถ้าต้องการให้ผู้สอบตอบในกระดาษคำตอบก็ควรออกแบบกระดาษคำตอบให้สะดวกต่อการเขียนตอบและการตรวจให้คะแนน
                                ๑๐) ควรตรวจทานต้นฉบับของแบบทดสอบให้มีความถูกต้อง ชัดเจนก่อนการจัดพิมพ์และจัดทำแบบทดสอบทุกครั้ง และหากยังมีข้อบกพร่องผิดพลาดก็ต้องแจ้งให้ผู้สอบแก้ไขให้ถูกต้องก่อนลงมือทำข้อสอบด้วย
                ๕. การกำหนดแผนการสอบ
                ในการสอบแต่ละครั้ง ก่อนดำเนินการสอบ ผู้ดำเนินการสอบ ซึ่งได้แก่ครูผู้สอน และผู้บริหารจะต้องกำหนดแผนการสอบไว้ให้ชัดเจน โดยกำหนดตารางการสอบที่ระบุวัน เวลา วิชา และสถานที่สอบแล้วประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบล่วงหน้า เพื่อให้มีการเตรียมตัวให้พร้อมในการสอบสำหรับผู้สอบ และคณะกรรมการดำเนินการสอบ หลักเกณฑ์สำคัญในการกำหนดแผนการสอบมีดังนี้
                                ๑) แผนการสอบต้องมีการครอบคลุมครบถ้วนทุกรายวิชาที่จัดสอบ
                                ๒) จำนวนที่ใช้สอบแต่ละครั้งไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป และในแต่ละวันไม่ควรกำหนดให้มีการสอบหลายๆ วิชา เพราะจะทำให้ผู้สอบขาดความพร้อมและเกิดความตึงเครียด หรือเมื่อยล้าเกินไป จำนวนวันที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงระดับวัยของผู้สอบอีกด้วย
                                ๓) ระยะเวลาในการสอบแต่ละรายวิชา ควรกำหนดให้เหมาะสม โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของการสอบ ระดับความยากง่าย และลักษณะของข้อสอบ ตลอดจนระดับวัยของผู้สอบด้วย
                                ๔) ต้องประกาศให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับแผนการสอบล่วงหน้า ไม่ควรมีการสอบ โดยที่ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบไม่ทราบมาก่อนล่วงหน้า
                                ๕) แผนการสอบที่ดีต้องมีความเป็นไปได้ และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติ
                ๖. การจัดสถานที่สอบและห้องสอบ ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
                                ๑) ความสะดวก สถานที่สอบควรเลือกหรือจัดการให้มีความสะดวกในการดำเนินการสอบ ทั้งในการเดินทางไปสอบ การประสานงานระหว่างการสอบ
                                ๒) ความสงบเงียบ สถานที่สอบหรือห้องสอบควรเลือกหรือจัดการให้มีความสงบเงียบ ปลอดจากเสียงและกลิ่นที่จะมารบกวนการดำเนินการสอบ ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนผลการสอบได้
                                ๓) ความปลอดโปร่ง สถานที่สอบหรือห้องสอบควรเลือกหรือจัดการให้มีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการสอบ โดยควรจัดห้องสอบให้มีอากาศปลอดโปร่ง แสงสว่างเพียงพอ ไม่มืดทึบ หรือร้อนอบอ้าว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินการสอบ
                                ๔) ความพอเพียงของที่นั่งสอบ ควรเลือกหรือจัดห้องสอบที่มีที่นั่งสอบพอเพียงกับจำนวนผู้สอบ ซึ่งในจำนวนห้องหนึ่ง ควรมีจำนวนผู้สอบประมาณ ๓๐-๔๐ คน โดยมีผู้กำกับการสอบหรือผู้ดำเนินการสอบ ๑ คน และผู้ช่วยอีก ๑ คน และอาจมีผู้กำกับการสอบเพิ่มอีก ๑ คนต่อจำนวนผู้สอบที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ๒๐-๒๕ คน สำหรับห้องสอบที่มีขนาดใหญ่
                                ๕) ความเหมาะสมของโต๊ะและเก้าอี้ ควรจัดโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งสอบให้เหมาะสม
กับระดับวัยของผู้สอบที่จะได้นั่งสอบอย่างสะดวกและสบาย
                                ๖) ความเป็นระบบ ควรจัดเรียงลำดับที่นั่งของผู้สอบให้เป็นระบบ โดยอาจจัดให้นั่งตามเลขที่ในบัญชีเรียกชื่อหรือเลขประจำตัวผู้สอบหรือเลขประจำตัวสอบให้ติดต่อกัน โดยเรียงจากหน้าไปหลังแล้วย้อนกลับมาข้างหน้าวนกันไปจนครบ เพื่อความสะดวกในการแจกและเก็บแบบทดสอบ ตลอดจน
การกำกับควบคุมการสอบให้มีประสิทธิภาพ
๗. การเตรียมอุปกรณ์การสอบ
ในการสอบแต่ละครั้ง ผู้ดำเนินการสอบจะต้องเตรียมอุปกรณ์การสอบให้พร้อม อุปกรณ์ที่สำคัญ
ในการสอบก็คือแบบทดสอบ และกระดาษคำตอบ ซึ่งต้องจัดบรรจุใส่ซองข้อสอบไว้ให้เรียบร้อย  อุปกรณ์อื่นๆ ได้แก่ ใบรายงาน ใบรายชื่อสำหรับผู้สอบลงชื่อเข้าสอบ ซองใส่กระดาษคำตอบ เครื่องมือหรืออุปกรณ์สำหรับเย็บกระดาษคำตอบ และต้องแจ้งให้ผู้สอบเตรียมอุปกรณ์การสอบสำหรับตนเองมาให้พร้อม
เช่น ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด และเครื่องคำนวณในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ สำหรับอุปกรณ์การสอบ
ที่จะแจกให้ผู้สอบ เช่น แบบทดสอบและกระดาษคำตอบ ควรจัดเตรียมไว้ให้มีจำนวนมากกว่าจำนวนผู้สอบประมาณ ๕-๑๐ % เพื่อสำรองไว้ใช้ในกรณีที่กระดาษคำตอบขาด แบบทดสอบพิมพ์ไม่ชัดหรือไม่สมบูรณ์
๘. การเตรียมผู้ดำเนินการสอบ
การสอบจะดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุจุดมุ่งหมายของการสอบหรือไม่ เพียงใดขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการสอบเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมให้ครบถ้วนตามจำนวนที่ต้องการและควรมี
การประชุมชี้แจงแนวปฏิบัติหรือจัดทำคู่มือดำเนินการสอบสำหรับแจกให้ผู้ดำเนินการสอบทุกคนได้ศึกษาและยึดถือเป็นแนวปฏิบัติให้ถูกต้อง

การดำเนินการสอบ
                ในการดำเนินการสอบมีหลักการที่สำคัญที่ผู้ดำเนินการสอบต้องคำนึงถึงก็คือจะต้องให้ผู้สอบ
ทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต้องการจะวัดอย่างเท่าเทียมกัน โดยจะต้องจัดสภาพการสอบให้ผู้สอบมีความสะดวกสบายพอสมควร สร้างบรรยากาศและเจตคติที่ดีต่อการสอบ
ให้คำชี้แจงแนะนำการตอบแบบทดสอบอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ควบคุมดูแลการสอบอย่างทั่วถึง และขจัด
สิ่งต่างๆ ที่มารบกวนสมาธิในการสอบทำให้ผู้สอบมีความวิตกกังวล ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนการสอบ เพราะถ้าผู้สอบมีความวิตกกังวลในขณะสอบแล้วก็จะตอบข้อสอบได้คะแนนไม่ดี (Gronlund) ดังนั้น
ในการดำเนินการสอบจึงต้องพยายามดำเนินการอย่างยุติธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้สอบ
ซึ่งมีแนวปฏิบัติ ดังนี้
                                ๑. การดำเนินการก่อนเริ่มสอบ
                                                ๑) ตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วๆ ไปของห้องสอบ ที่นั่งสอบ แผนผังที่นั่งสอบ และอุปกรณ์ในการสอบ
                                                ๒) ให้ผู้สอบเข้าห้องสอบก่อนเวลาสอบ ๑๕ นาที โดยให้นั่งตามแผนผังที่นั่งสอบ
                                                ๓) สร้างบรรยากาศและแรงจูงใจในการสอบ โดยผู้ดำเนินการสอบควรพูดกระตุ้นจูงใจให้ผู้สอบเห็นคุณประโยชน์ของการสอบ มีความตั้งใจในการตอบข้อสอบอย่างเต็มความสามารถ
ให้กำลังใจผู้สอบ ไม่ข่มขู่ พูดหรือกระทำสิ่งใดๆ ที่จะทำให้ผู้สอบมีความวิตกกังวล ตึงเครียดหรือขวัญเสีย
                                                ๔) แจกแบบทดสอบและอุปกรณ์ในการสอบให้ผู้สอบ
                                                ๕) ให้ผู้สอบเขียนชื่อ รายการต่างๆ ลงในกระดาษคำตอบให้ครบถ้วน
ตามที่กำหนดไว้
                                                ๖) ให้คำชี้แจงในการสอบ โดยชี้แจงเฉพาะสาระที่ปรากฏในคำชี้แจงของแบบทดสอบเท่านั้นและควรให้โอกาสผู้สอบได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ จนเข้าใจก่อนที่จะลงมือตอบข้อสอบ แต่พึงระวังในการตอบข้อซักถามจะต้องไม่ให้เป็นการชี้แนะหรือบอกใบ้คำตอบ
                                ๒. การดำเนินการสอบ
                                                ๑) ต้องป้องกันหรือขจัดสิ่งต่างๆ ที่จะมารบกวนสมาธิในการสอบของผู้สอบ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเสียงต่างๆ เช่น ไม่เดินพลุกพล่าน เสียงดัง ไม่คุยเสียงดัง หลีกลี่ยงการประกาศ
จากเครื่องขยายเสียง และให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
                                                ๒) ควบคุมดูแลการสอบอย่างทั่วถึง โดยในช่วงเริ่มต้นของการสอบ ผู้ดำเนิน
การสอบอาจเดินตรวจดูความเรียบร้อยทั่วๆ ไปก่อน แล้วจึงมายืนกำกับการสอบในที่สามารถมองเห็นผู้สอบได้อย่างทั่วถึง ไม่ควรเดินไปมาเพราะจะเป็นการรบกวนสมาธิของผู้สอบ
                                                ๓) ต้องควบคุมเวลาสอบให้เป็นไปตามตารางที่กำหนดไว้ โดยไม่ให้ผู้สอบลงมือทำข้อสอบก่อนเวลาหรือเกินเวลา การเตือนเวลาควรเตือนเพียง ๒ ครั้ง คือ เมื่อหมดครึ่งเวลา และก่อนจะหมดเวลาอีกประมาณ ๓ หรือ ๕ นาที การเตือนเมื่อหมดครึ่งเวลาก็เพื่อให้ผู้สอบได้พิจารณาการทำข้อสอบ
ที่ผ่านมาว่าเหมาะสมกับเวลาหรือไม่ จะได้ปรับเปลี่ยนกับเวลาให้เหมาะสมกับเวลาที่เหลือ ส่วนการเตือนก่อนหมดเวลาสอบก็เพื่อให้ผู้สอบได้ตรวจทานความเรียบร้อยก่อนส่งกระดาษคำตอบ
                                                ๔) ต้องควบคุมดูแลไม่ให้เกิดการทุจริตในการสอบ โดยการป้องกันไว้ล่วงหน้าด้วยการจัดที่นั่งสอบให้ห่างกันที่ผู้สอบไม่สามารถดูคำตอบหรือบอกข้อสอบกันได้ และในขณะสอบผู้ดำเนินการสอบก็ต้องสังเกตพฤติกรรมการสอบให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้โอกาสในการทุจริต
ซึ่งบอทท์ (Bott) ได้ให้ข้อคิดว่า วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันทุจริตในการสอบก็คือการขจัดโอกาสที่จะทำให้เกิดการทุจริต ในกรณีที่มีการทุจริตควรดำเนินการอย่างละมุนละม่อม ไม่เอะอะโวยวายให้เสียขวัญเสียสมาธิกันทั้งห้อง
                                                ๕) ถ้ามีผู้สอบยกมือถามระหว่างสอบ ผู้ดำเนินการสอบควรเดินไปหา โดยไม่ให้รบกวนผู้สอบคนอื่นๆ แล้วจึงพิจารณาว่าควรจะตอบคำถามหรือไม่ ซึ่งโดยปกติจะไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสอบ หากเห็นว่าจำเป็นต้องตอบคำถามนั้นจะต้องระมัดระวัง ไม่ให้เป็นการชี้แนะเกี่ยวกับ
การตอบข้อสอบ และไม่เป็นธรรมกับผู้สอบคนอื่นๆ
                                                ๖) ผู้ดำเนินการสอบต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ มีความยุติธรรม บริสุทธิ์ใจ ไม่ลำเอียง โดยให้โอกาสผู้สอบได้แสดงความสามารถในการตอบข้อสอบอย่างเท่าเทียมกัน
                                ๓. การดำเนินการเมื่อหมดเวลาสอบ
                                                ๑) สั่งให้ผู้สอบวางดินสอหรือปากกา หยุดทำข้อสอบทันที ไม่ควรให้โอกาสผู้สอบบางคนทำข้อสอบต่อไป แม้จะใช้เวลาเพียง ๑-๒ นาที เพราะจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับผู้สอบคนอื่นๆ
                                                ๒) เก็บรวบรวมกระดาษคำตอบและแบบทดสอบคืน ตรวจนับให้ครบถ้วน และจัดเรียงกระดาษคำตอบตามลำดับเลขที่ของผู้สอบ
                                                ๓) บรรจุกระดาษคำตอบและแบบทดสอบใส่ซองเก็บและนำส่งคืนผู้ที่รับผิดชอบหรือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อการตรวจให้คะแนนและการประเมินผลต่อไป

การนำผลการสอบไปใช้
                การทดสอบจะเกิดคุณประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนการสอน ถ้าหากว่าหลังดำเนินการสอบและตรวจให้คะแนนแล้ว ได้มีการนำผลการสอบไปใช้ให้คุ้มค่า  ผลการทดสอบสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง และผู้บริหารได้ดังนี้
                                ๑. การใช้ผลการทดสอบพัฒนาผู้เรียน ครูผู้สอนสามารถนำผลการทดสอบไปใช้พัฒนาผู้เรียนได้ใน ๓ ลักษณะ ดังนี้
                                                ๑) การวินิจฉัยผู้เรียน (Diagnosis)  เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลก่อนการเรียนการสอน เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนว่ายังมีข้อบกพร่องในเรื่องใด ครูผู้สอนจะได้จัดการซ่อมเสริมความรู้พื้นฐานให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป
                                                ๒) การปรับปรุงการเรียนรู้ เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลระหว่างเรียน (formative Evaluation) เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่ หากพบว่าผู้เรียนยังไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้หรือยังมีข้อบกพร่องในเรื่องใด ครูผู้สอนก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข โดยการจัดสอนซ่อมเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้
ที่กำหนดไว้
                                                ๓) การตัดสินผลการเรียน เป็นการใช้ผลการทดสอบ หรือการประเมินผลรวม (Summative Evaluation) หลังการสิ้นสุดการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียน
มีความรู้ความสามารถในรายวิชานั้นเพียงใด แล้วพิจารณาตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดว่าผู้เรียน
แต่ละคนควรจะได้ระดับผลการเรียนใด
                                ๒. การใช้ผลการทดสอบปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เมื่อครู
จัดการเรียนการสอนแต่ละรายวิชา และได้มีการทดสอบแล้ว ผลการทดสอบก็คือตัวชี้ที่แสดงถึงผลการเรียนของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากการสอนของครูนั่นเอง ถ้าผลการเรียนหรือผลการทดสอบอยู่ในเกณฑ์ดีก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการสอนที่ดีมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าผลการเรียนหรือผลการทดสอบอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการสอนที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น ผลการทดสอบ
จะเป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ให้ครูพิจารณาทบทวนปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
ให้มีประสิทธิภาพ ดังแสดงในภาพที่ ๒-
สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน: การจัดการเรียนการสอนของครูสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน: ผลการเรียนรู้สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน: ผลการสอนสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน: ผลการทดสอบสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน: การทดสอบสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน: ปรับปรุงและพัฒนา












ภาพที่ ๒- การใช้ผลการทดสอบปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู
                                ๓. การใช้ผลการทดสอบรายงานผู้ปกครอง การรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครองทราบ
เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียน หรือการจัดการเรียนการสอนของครูว่าได้จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ผลเป็นอย่างไร และจะทำให้ผู้ปกครองได้ร่วมมือ
ในการปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียนด้วย โดยทั่วไปโรงเรียนจะรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ โดยใช้สมุดรายงานประจำตัวผู้เรียน เพื่อให้ผู้ปกครองได้ทราบถึงผลการประเมิน
การผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ และผลการสอบปลายภาคหรือปลายปี
                                ๔. การใช้ผลการทดสอบเป็นข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร ผู้บริหารโรงเรียนจำเป็นต้องมีข้อมูลสารสนเทศ (Information) สำหรับประกอบการตัดสินใจในการบริหารงาน จึงจะทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผลการทดสอบของแต่ละรายวิชาหรือโดยภาพรวม
ทั้งโรงเรียนถือว่าเป็นข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่ผู้บริหารสามารถนำมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา หรือปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งอาจจะมีการจัดทำแผนหรือโครงการพัฒนาการเรียนการสอนของรายวิชาต่างๆ ที่ปรากฏผลว่าผลการทดสอบหรือผลการเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้

สรุป
                การบริหารการสอนเป็นกลไกที่ช่วยให้การดำเนินการสอบมีความเป็นระบบ เรียบร้อย ยุติธรรม และได้ผลการสอบที่ถูกต้อง เที่ยงตรง ซึ่งจะต้องอาศัยหลักการบริหารการสอบที่สำคัญ คือ กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้ชัดเจน มีแผนการดำเนินงาน มีแนวปฏิบัติในการดำเนินการสอบที่เหมาะสม
มีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ดำเนินการให้ผู้สอบได้รับความสะดวกสูงสุด มีความยุติธรรม และ
มีประสิทธิผลในการดำเนินงาน ดังนั้น ในการบริหารการสอบจึงต้องมีการวางแผนการสอบ การดำเนิน
การสอบ และนำผลการสอบไปใช้ให้คุ้มค่า ครอบคลุม ทั้งในการพัฒนาผู้เรียน ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนของครู รายงานผลต่อผู้ปกครอง และใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา
ในการตัดสินใจแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพการศึกษา (พิชิต  ฤทธิ์จรูญ, ๒๕๕๓ : ๒๒๕-๒๔๓)









เอกสารอ้างอิง

ชวาล  แพรัตกุล. (๒๕๑๘). เทคนิคการวัดผล. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช.
พิชิต  ฤทธิ์จรูญ. (๒๕๕๓). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ:
เฮ้าส์ ออฟ เดอร์มิสท์.
วิเชียร  เกตุสิงห์. (๒๕๑๗). การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแห่งชาติ.
สมนึก  ภัททิยธนี. (๒๕๓๕). การประเมินผลและสร้างแบบทดสอบ. [ม.ป.ท.].