๑. ลักษณะข้อสอบที่ดี
ลักษณะข้อสอบที่ดี
ในฐานะที่การสอบ
มีความสำคัญต่อการศึกษาของเด็กนักเรียนเป็นอันมาก และในฐานะของครู
ที่จะต้องเป็นผู้สร้างและใช้แบบทดสอบนั้นๆ กับเด็ก
จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์สำหรับยึดถือ แบบทดสอบที่มีใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ซึ่งจะมีคุณภาพดีเพียงใดจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
๑.
มีความเที่ยงตรง (Validity)
หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบทั้งฉบับที่สามารถวัดได้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการ
หรือตรงกับสิ่งที่กำหนดไว้
ความเที่ยงตรง
หมายถึง คุณสมบัติที่จะนำให้ผู้ใช้บรรลุถึงวัตถุประสงค์
แบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงสูง
ก็คือแบบทดสอบที่สามารถทำหน้าที่วัดสิ่งที่เราต้องการจะวัดได้อย่างถูกต้องตามความมุ่งหมาย
คือคะแนนจากข้อสอบนั้นสามารถให้ความหมายแก่เราตรงตามที่เราปรารถนา (ชวาล แพรัตกุล,
๒๕๑๘ : ๑๒๔)
ลักษณะของความเที่ยงตรง
แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้
๑.๑
ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content Validity) หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดได้ตรงตามเนื้อหาที่ได้ทำการสอนไป
หรือตรงกับเนื้อหาที่กล่าวไว้ในหลักสูตร หรือ
ตรงกับเนื้อหาที่อยู่ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร กล่าวคือ
เมื่อทำการสอนเนื้อหาเรื่องใดก็ทำการออกข้อสอบวัดให้ตรงกับเนื้อหานั้น
ความบกพร่องของข้อสอบในเรื่องนี้ก็มักจะได้แก่ที่ถามไม่ทั่วถึง
หรือบางทีก็ตบแต่งโจทย์เสียสั้นหรือหรูหราเกินไปจนเด็กงง
ไม่ทราบว่าครูถามอะไรกันแน่ วิธีแก้ไขเรื่องนี้ก็โดยกลับไปพลิกดูตารางวิเคราะห์หลักสูตรของวิชานั้นเสียใหม่
แล้วเกาะติดกับตารางนั้น และออกข้อสอบไปตามเนื้อวิชา
เท่าที่ปรากฏอยู่ในตารางวิเคราะห์นั้นๆ
ความเที่ยงตรงชนิดนี้ใช้หลักสูตรภาคเนื้อวิชาเป็นเกณฑ์สำหรับตัดสินชี้ขาด
ซึ่งก็คือ
ใช้เนื้อวิชาเป็นตัวเกณฑ์นั่นเอง
คือใช้เนื้อวิชาเป็นหลักสำหรับวินิจฉัยว่า
ข้อสอบฉบับนี้สามารถวัดความรู้ของเด็กไทยในเรื่องนี้ เวลานี้ได้จริงหรือไม่
๑.๒ ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Construction Validity)
หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ ได้ตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรภาคจุดมุ่งหมาย
หรือวัดได้ตรงกับพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน
หรือตรงกับพฤติกรรมที่อยู่ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร กล่าวคือ
เมื่อจะสอนเนื้อหาเรื่องใดผู้สอนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ล่วงหน้าว่า
จะให้ผู้เรียนเกิดสมรรถภาพสมองด้านใดแล้วจึงทำการสอนและสอบให้ตรงกับพฤติกรรมที่ต้องการ
ความบกพร่องของข้อสอบในเรื่องนี้ก็มักจะได้แก่การสอบวัดที่เข้มข้นแต่เพียงจำ-จำ
ด้านเดียว ไม่ถามให้เด็กแปลความ ตีความ ขยายความ และอื่นๆ ตามที่ควร
วิธีแก้ไขก็โดยกลับไปดูตารางวิเคราะห์หลักสูตรของวิชานั้นเสียใหม่ ดูตั้งแต่การแปลความหมายของพฤติกรรมออกเป็นทั้ง
๓ ประการ
เลยทีเดียว
แล้วก็แต่งคำถามให้มีจำนวนข้อหรือคะแนนเป็นสัดส่วนสอดคล้องและครบถ้วนกับตัวเลข
ในตารางวิเคราะห์นั้นๆ
๑.๓
ความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์ (Concurrent Validity) หมายถึง
ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน (ปัจจุบัน)
ของผู้เรียน
หรือกล่าวได้ว่าเป็นความสามารถของแบบทดสอบที่ช่วยให้ครูผู้สอนกะประมาณสถานภาพอันแท้จริงของผู้เรียนในปัจจุบัน
ได้ถูกต้อง
ความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์ไม่สามารถถามการวัดกันได้จริงๆ
ในแบบทดสอบ ต้องเอาคะแนนของเด็กไปอนุมานร่วมกับความสังเกตพิจารณาของผู้สอน
หรือเท้าความโดยอ้อมเอาเองอีกทีหนึ่ง
วิธีหาความเที่ยงตรงชนิดนี้ก็โดยตรวจดูว่าแบบทดสอบฉบับนั้นสามารถให้คะแนนกระจายออกเป็นระยะกว้างหรือไม่
และคะแนนเหล่านั้นสอดคล้องกับความเก่ง-อ่อน หรือกับความฉลาด-โง่ของเด็กตรงตามสภาพข้อเท็จจริงและประจักษ์พยานเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันหรือเปล่า
ถ้าข้อทดสอบฉบับใดสามารถให้คะแนนกระจายจากจวนเต็มจนถึงจวนศูนย์
ไม่เกาะกันเป็นกระจุกโตๆ
ที่ปลายใดปลายหนึ่งแล้วก็จัดว่าแบบทดสอบฉบับนั้นมีความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์ได้
คือเป็นแบบทดสอบที่สามารถจำแนกเด็กออกเป็นประเภทๆ
ได้อย่างถูกต้องตรงตามสภาพความจริงของเด็กนั้นแล้ว
วิธีหาความเที่ยงตรงชนิดนี้อีกแบบหนึ่ง
ก็โดยเอาคะแนนสอบของเด็กแต่ละคนมาเรียงกันตามอันดับ
ให้ลดหลั่นกันจากศูนย์ลงไปหาต่ำ แล้วนำอันดับนั้นไปเทียบกับความสามารถของเขาตามที่เราสังเกตเห็นจากขณะที่สอนในชั้นว่าอันดับสองชนิดนี้สอดคล้องกันมากน้อยปานใดก็ตีราคาความเที่ยงตรงไปตามนั้นๆ
ก็ได้ นี่ก็คือเราใช้สภาพความจริงตามที่
เราสังเกตเห็นปัจจุบันเป็นตัวเกณฑ์
๑.๔
ความเที่ยงตรงตามพยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถึง
ความสามารถของแบบทดสอบที่วัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของผู้เรียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
กล่าวคือแบบทดสอบ
ชุดนั้นสามารถให้คะแนนสอดคล้องกับผลการเรียนหรือความสำเร็จในอนาคตได้ถูกต้อง
ความเที่ยงตรงตามพยากรณ์ก็คือการสะกดรอยติดตามดูผลการสอบในปัจจุบันว่ามีคุณค่าสามารถทายอนาคตได้แม่นยำปานใด
แบบเดียวกับเรื่องหมอดูลายมือนั่นเอง ถ้าเด็กทำข้อสอบฉบับใด
ได้คะแนนมากๆ
แล้วปรากฏว่าเขาก็มักจะเรียนวิชานั้นหรือวิชาอื่นในสกุลนั้นๆ ในเทอมต่อไป ปีต่อไป
ได้สำเร็จเป็นอย่างดีด้วยแล้ว
เราก็เรียกข้อสอบฉบับนั้นว่ามีความเที่ยงตรงตามพยากรณ์มาก
วิธีหาความเที่ยงตรงชนิดนี้
ก็โดยไปเทียบหาความสัมพันธ์สอดคล้องระหว่างคะแนนของแบบทดสอบนั้นกับผลสัมฤทธิ์ข้างหน้า
โดยยกให้ผลสัมฤทธิ์ในอนาคตเป็นตัวเกณฑ์
๒.
มีความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง
คุณลักษณะของแบบทดสอบทั้งฉบับที่สามารถวัดได้คงที่คงวา
ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะจะทำการสอบใหม่กี่ครั้งก็ตาม
วิธีหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
ที่นิยมใช้มี ๔ วิธี คือ
๒.๑
แบบสอบซ้ำ
๒.๒
แบบคู่ขนาน
๒.๓ แบบแบ่งครึ่งฉบับ
๒.๔
แบบ K-R
๓. มีความยุติธรรม (Fair) หมายถึง
แบบทดสอบที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบในหมู่ผู้เข้าสอบด้วยกัน
ไม่เปิดโอกาสให้เด็กทำข้อสอบได้โดยการเดา ไม่ให้เด็กขี้เกียจ และไม่สนใจการเรียน
ทำข้อสอบได้ดี ผู้ที่ทำข้อสอบได้ควรจะเป็นเด็กที่เรียนเก่ง
และขยันเท่านั้น วิธีการที่จะช่วยให้เกิด
ความยุติธรรม ได้แก่ อออกข้อสอบให้คลุมหลักสูตรและมีจำนวนมากข้อ
ข้อสอบที่ใช้สอบกับเด็กทุกคนต้องเป็นชุดเดียวกัน และเป็นเรื่องที่เด็กเรียนมาแล้ว
๔.
ถามให้ลึก (Searching) หมายถึง
ข้อสอบแต่ละข้อนั้นจะต้องไม่ถามผิวเผินหรือไม่ถามประเภทความรู้ความจำ แต่ต้องถามโดยให้นักเรียนนำความรู้ความเข้าใจไปคิดดัดแปลง
แก้ปัญหาแล้วจึงจะตอบได้ อันได้แก่ถามพฤติกรรมที่สูงกว่าความรู้ความจำ
นับว่าเป็นคำถามที่นำให้เด็กต้องใช่สมองคิดค้นจึงจะ
ตอบได้ เด็กที่สักแต่ว่าจำตามผิวๆ จะไม่มีโอกาสทำได้ถูกนัก
ใครที่ได้คะแนนสูงๆ จากข้อสอบที่ถามลึกอย่างนี้จะต้องเชื่อแน่ได้ว่าเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งปัญญาและทักษะในวิชานั้นๆ
มิใช่เป็นผู้ที่มีแต่ความจำเยี่ยง
นักลอกแบบ หรือสักแต่รู้อย่างเถรตรงตามตำราท่าเดียว
แบบทดสอบที่ดีต้องการจะวัดความลึกซึ้งของวิทยาการตามแนวดิ่งมากกว่าที่จะวัดตามแนวกว้างว่ารู้มามากน้อยปานใด
คำถามสมัยใหม่จะไม่ถามแค่ผิวๆ ความรู้ แต่จะพยายามล้วงลึกลงไปเบื้องใต้พื้นความรู้
เพื่อวัดดูว่าเด็กแต่ละคนมีสมรรถภาพหรือมีของอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในสมองบ้าง
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้นำสมรรถภาพของเขาเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น
นั่นคือ ข้อสอบที่ดีจะต้องถามลึกตั้งแต่ระดับความเข้าใจในการแปลความ
ตีความ และขยายความลงไป
๕.
ต้องยั่วยุ (Exemplary) หมายถึง แบบทดสอบที่ด้วยความสนุกเพลิดเพลิน
ไม่เบื่อหน่าย วิธีการ
ที่จะให้ข้อสอบมีความยั่วยุให้เด็กอยากตอบก็โดยเรียงข้อสอบจากข้อง่ายไปหาข้อยาก
ใช้ข้อสอบรูปภาพบ้าง รูปแบบของข้อสอบเรียบร้อย
๖.
ต้องจำเพาะเจาะจง (Definition) หมายถึง
ข้อสอบที่มีแนวทางหรือทิศทางการถามการตอบชัดเจน ไม่คลุมเครือ
ไม่แฝงกลเม็ดให้เด็กงง
เด็กไม่ได้คะแนนเนื่องจากไม่สามารถจะตอบได้ดีกว่าไม่ได้คะแนนเนื่องจากไม่เข้าใจคำถาม
และความไม่จำเพาะเจาะจงของข้อสอบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้กับข้อสอบ
ทุกชนิด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้เขียนข้อสอบว่าออกข้อสอบให้รัดกุมได้เพียงใด
๗.
ต้องเป็นปรนัย (Objective)
ความเป็นปรนัยของแบบทดสอบไม่ได้หมายถึงข้อสอบแบบ
กาถูก-ผิด จับคู่ เติมคำ ตอบสั้นๆ และเลือกตอบ
เพราะแบบทดสอบชนิดต่างๆ เหล่านี้เป็นแต่เพียงรูปแบบ หรือโครงสร้างของคำถามที่จะนำไปสู่ความเป็นปรนัยเท่านั้น
และความเป็นปรนัยเป็นคุณลักษณะของแบบทดสอบไม่ใช่ชนิดของข้อสอบ
คุณสมบัติของปรนัย มี ๓ ประการ คือ
๑)
ตั้งคำถามได้ชัดเจน ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนเข้าใจความหมายตรงกัน
๒)
ตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน แม้ว่าจะตรวจหลายครั้งหรือตรวจหลายคนก็ตาม
๓)
แปลความหมายคะแนนได้เหมือนกัน
ลักษณะเช่นนี้ถ้าเป็นข้อสอบที่ผู้เรียนได้คะแนนแต่ละข้อไม่เท่ากัน ได้แก่
ข้อสอบอัตนัย หรือตอบสั้นๆ หรือเติมคำก็ไม่สามารถแปลความหมายของ
คะแนนได้
ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียงอาจเป็นปรนัยก็ได้
ถ้ามีคุณสมบัติครบทั้ง ๓ ประการเบื้องต้น
แต่ในทางตรงกันข้ามข้อสอบแบบเลือกตอบ หรือกาถูก-ผิด ฯลฯ อาจจะไม่เป็นปรนัยก็ได้ ถ้ามีคุณสมบัติ
ไม่ครบทั้ง ๓ ประการ
๘. ต้องมีประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง แบบทดสอบที่มีจำนวนข้อมากพอประมาณ
ใช้เวลาสอบพอเหมาะ ประหยัดค่าใช้จ่าย จัดทำข้อสอบด้วยความประณีต
ตรวจให้คะแนนได้รวดเร็ว รวมถึงสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สภาพห้องสอบเรียบร้อย
ไม่มีสิ่งรบกวนผู้เข้าสอบ กรรมการคุมสอบรัดกุม เป็นต้น
๙.
ต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty) หมายถึง คุณสมบัติของข้อสอบแต่ละข้อที่ไม่ยาก
หรือง่ายมาก
เพราะข้อสอบที่ยากหรือง่ายมากไม่สามารถแยกได้ว่าผู้เข้าสอบเหล่านั้นใครเก่งหรือใครอ่อน
นั่นคือ ข้อสอบแต่ละข้อที่ดีต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ (ปานกลาง)
ค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อจะทราบได้โดยการวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนค่าความยากง่าย ได้แก่ p
ในข้อสอบที่ดี
เราต้องการให้มีคำถามที่มีเด็กตอบถูกบ้างผิดบ้าง
ฉะนั้นข้อสอบที่ยากสุดและง่ายสุดจึงไม่มีประโยชน์
เพราะเด็กพร้อมใจกันทำผิดหมดหรือถูกหมดทั้งชั้น กลายเป็นทุกคนไม่ได้คะแนนหรือ
ทุกคนได้คะแนน ขึ้นลงพร้อมๆ กันหมด เราเลยไม่รู้ว่าใครเก่งกว่ากันแน่
นับว่าเปลืองกระดาษสำหรับคำถามข้อนั้นเปล่าๆ
๑๐. ต้องมีอำนาจจำแนก (Discrimination) หมายถึง
คุณสมบัติของข้อสอบแต่ละข้อที่สามารถ
แยกคนกลุ่มเก่งออกจากคนกลุ่มอ่อนได้
หรือข้อสอบแต่ละข้อที่คนกลุ่มเก่งทำถูก คนกลุ่มอ่อนจะทำไม่ถูก
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่ามีอำนาจจำแนกสูง
ถ้าข้อสอบข้อใดทั้งคนกลุ่มอ่อนและกลุ่มเก่งทำถูกพอๆ กัน
เรียกว่าข้อสอบนั้นไม่มีอำนาจจำแนก
ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบแต่ละข้อจะทราบได้โดยการวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อเช่นเดียวกับการหาค่าความยากง่าย
สัญลักษณ์ที่นิยมใช้แทนค่าอำนาจจำแนกได้แก่ r
อำนาจจำแนก
หมายความว่าเด็กเก่งมักจะเป็นผู้ตอบถูกมากกว่าเด็กอ่อนเสมอ
คือถ้าเป็นข้อสอบดีแล้วโอกาสที่เด็กอ่อนจะทำถูกนั้นมีน้อยเหลือเกิน
เด็กเก่งเอาไปกินหมดทุกที ยิ่งเก่งมากก็ยิ่งมีโอกาสถูกมาก
ถ้าเก่งรองก็มีโอกาสถูกน้อยลงๆ ตามลำดับ
ฉะนั้น ข้อคำถามอุดมคติจึงต้องมีเด็กตอบถูกครึ่งผิดครึ่งเสมอ
และครึ่งถูกนั้นจำเพาะจะต้องเป็นคนเก่งเสียด้วยจึงจะถูกใจเรา
อำนาจจำแนกที่แท้ก็คือความเที่ยงตรงตามสภาพการณ์นั่นเอง
ข้อสอบที่ดีจะต้องให้คะแนน
กระจายกว้างตั้งแต่จวนเต็มจนถึงใกล้ศูนย์ และมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ตรง ๕๐% ด้วย นั่นคือ สามารถวัดเด็กได้ทุกๆ ระดับความสามารถอย่างละเอียดลออครบถ้วน
ตั้งแต่ฉลาดยิ่งจนถึงโง่ยอด
สรุป
ข้อสอบใดมีลักษณะครบ ๑๐ ประการ ได้แก่
มีความเที่ยงตรง มีความเชื่อมั่น มีความยุติธรรม
ถามให้ลึก ต้องยั่วยุ ต้องจำเพาะเจาะจง ต้องเป็นปรนัย
ต้องมีประสิทธิภาพ ต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ
และต้องมีอำนาจจำแนกก็ถือได้ว่าเป็นข้อสอบที่ดีมาก
ในเชิงปฏิบัติแล้วข้อสอบโดยทั่วๆ ไปที่สร้างกันขึ้นมักจะมีคุณสมบัติไม่ครบ
อย่างมากก็มีเพียง ๓-๔ ประการเท่านั้น ทั้งนี้ถ้าอาศัยการวิเคราะห์วิจัยเข้าช่วย
เพื่อปรับปรุงข้อสอบแล้วก็หวังได้ว่าข้อสอบคงจะมีคุณภาพดีขึ้น
ผลดีก็จะเกิดกับเด็กนักเรียน อันจะเป็น
ผลสะท้อนต่อความเจริญในด้านการศึกษาของชาติบ้านเมือง
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูทุกคนที่จะต้องช่วยกันพัฒนาในด้านการออกข้อสอบ
โดย
๑. ขยัน หมั่นฝึกออกข้อสอบบ่อยๆ
๒.
ใจกว้าง
ให้เพื่อนครูด้วยกันช่วยกันดูและวิจารณ์ข้อสอบ
๓. พยายาม แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
เพื่อให้ข้อสอบมีคุณภาพดีขึ้น
๔.
ค้นคว้า
หาความรู้เพิ่มเติมโดยการอ่านให้มาก ฟังให้มาก และคิดอย่างลึกซึ้ง
ดังนั้น
เมื่อนักเรียนสอบตกกันมากๆ ครูยังไม่ควรลงโทษเด็กเลยทีเดียว
ควรพิจารณาดูข้อสอบเสียก่อนว่ามีคุณภาพดีแล้ว หรือยังมีข้อบกพร่อง (วิเชียร
เกตุสิงห์, ๒๕๑๗ : ๓๒)
๒. การบริหารการสอบ
การบริหารการสอบ
การสอบเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนการสอน
ผลการสอบจะมี
ความถูกต้อง เที่ยงตรง และเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
นอกจากจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบบทดสอบแล้ว
ยังขึ้นอยู่กับการบริหารการสอบ
เพราะถ้าการบริหารการสอบไม่มีประสิทธิภาพก็จะส่งผลต่อคุณภาพของการสอบ
ผลสอบที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
เมื่อนำคะแนนผลการสอบที่ได้ไปประเมินผลหรือตัดสินผลการเรียนก็ย่อมเกิดความผิดพลาดได้
แต่ถ้ามีการบริหารการสอบที่มีประสิทธิภาพ
ก็จะช่วยให้ได้ผลการสอบที่มีคุณภาพ
มีความคลาดเคลื่อนน้อยซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินผลหรือตัดสินผลการเรียนที่มีความถูกต้อง
และเชื่อถือได้ ดังนั้นในการบริหารการสอบ ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากร
ที่เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน
กำหนดแนวปฏิบัติให้ชัดเจน ดำเนินการตามแผน และแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้ผลการสอบมีคุณภาพและนำไปใช้ในการประเมินผล
เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการบริหารการสอบ
การบริหารการสอบเป็นกระบวนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับ
การวางแผนการสอบ การดำเนิน
การสอบ และการนำผลการสอบไปใช้สำหรับประเมินผลการเรียนและรายงานผลการเรียนต่อผู้เกี่ยวข้อง
การบริหารการสอบจึงมีความสำคัญ ดังนี้
๑.
ทำให้การดำเนินการสอบมีความเป็นระบบ เป็นไปตามแผนการสอบ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
๒.
ช่วยทำให้ได้ผลการสอบที่มีความถูกต้อง เที่ยงตรง และเชื่อถือได้
ทำให้เกิดความมั่นใจ
ต่อการนำผลการสอบไปใช้ในการประเมินผลการเรียนมากยิ่งขึ้น
๓.
ทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครอง
และผู้สอบได้มีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการสอบตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน
๔.
ทำให้มีการนำผลการสอบไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ทั้งในด้านการปรับปรุง
และพัฒนาผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารสถานศึกษา
ตลอดจนการรายงานผลการเรียนต่อผู้ปกครอง
๕.
ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้สอบได้แสดงความสามารถและพัฒนาตนเองเต็มศักยภาพ
หลักการและกระบวนการบริหารการสอบ
ในการบริหารการสอบที่จะทำให้ได้ผลการสอบมีความถูกต้อง
เชื่อถือได้ และป้องกัน
ความคลาดเคลื่อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการสอบ
จึงควรใช้หลักการบริหารการสอบดังต่อไปนี้
๑.
มีจุดมุ่งหมาย โดยกำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้ชัดเจน เพื่อเป็นทิศทางในการดำเนิน
การสอบให้มีประสิทธิภาพ
๒.
มีแผนการดำเนินงาน โดยมีการวางแผนการสอบอย่างรอบคอบว่าจะสอบอะไร สอบอย่างไร
สอบเมื่อไร สอบที่ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
๓.
มีแนวปฏิบัติ โดยกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการสอบที่ชัดเจนและแจ้งให้บุคลากร
ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ
๔. มีการเตรียมความพร้อม
โดยดำเนินการให้อาจารย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการสอบมีความพร้อมในการจัดทำแบบทดสอบ
จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการสอบ สถานที่สอบ และการดำเนินการสอบ
๕. มีความสะดวก
โดยดำเนินการเอื้ออำนวยให้ผู้เข้าสอบได้รับความสะดวกสูงสุด มีการรบกวนน้อยที่สุด
เพื่อให้ผู้เข้าสอบได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำแบบทดสอบอย่างเต็มศักยภาพ
๖.
มีความยุติธรรม โดนดำเนินการสอบให้ผู้เข้าสอบได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน
ทั้งในเรื่องการแจกและเก็บแบบทดสอบ การชี้แจงในการสอบ การใช้เวลาในการสอบ
และการกำกับการสอบ
๗. มีประสิทธิผล
โดยมีการกำกับดูแลให้การดำเนินการสอบเป็นไปตามแผนการสอบ และ
แนวปฏิบัติในการสอบอย่างเคร่งครัดและบรรลุจุดมุ่งหมายของการสอบ
สำหรับกระบวนการบริหารการสอบประกอบด้วยการดำเนินงานที่สำคัญ
๓ ขั้นตอน ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันคือ การวางแผนการสอบ การดำเนินการสอบ
การดำเนินการสอบและการนำผลสอบไปใช้
การวางแผนการสอบ
การวางแผนการสอบเป็นการเตรียมการก่อนสอบเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบ
การจัดชุดแบบทดสอบ การเขียนคำชี้แจงของแบบทดสอบ การจัดพิมพ์ข้อสอบ
การกำหนดแผนการสอบ
การจัดสถานที่สอบและห้องสอบ การเตรียมอุปกรณ์การสอบ
การเตรียมผู้ดำเนินการสอบหรือ
ผู้กำกับห้องสอบ ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดดังต่อไปนี้
๑.
การสร้างแบบทดสอบ
การสร้างแบบทดสอบถือว่าเป็นภาระงานที่สำคัญของครูผู้สอน
หรือผู้ที่รับผิดชอบในการประเมินผล
ซึ่งจะต้องจัดสร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพก่อนที่จะนำแบบทดสอบไปใช้ต่อไป
ซึ่งหลักทั่วไปในการสร้างแบบทดสอบมีขั้นตอนที่สำคัญ ๔ ขั้นตอน ดังนี้
๑.๑
การวางแผนสร้างแบบทดสอบ โดยดำเนินการ ดังนี้
๑)
แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการสร้างแบบทดสอบ
๒)
กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบทดสอบให้ชัดเจน โดยระบุสิ่งที่ต้องการทดสอบ
กลุ่มเป้าหมายที่จะทดสอบและผลการนำผลการทดสอบไปใช้
๓)
วิเคราะห์หลักสูตร โดยวิเคราะห์เกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนรู้
หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัด และเนื้อหาวิชาที่ต้องการวัด
๔)
สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร
หรือตารางกำหนดรายละเอียดของการสร้างแบบทดสอบเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการสร้างแบบทดสอบ
๑.๒
การเตรียมงานเขียนข้อสอบและลงมือเขียนข้อสอบฉบับร่าง (Draft)
๑.๓
การทดลองสอบ (Try Out)
เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับการประเมินและปรับปรุงแบบทดสอบ
ซึ่งจะช่วยให้ได้แบบทดสอบที่มีคุณภาพ
๑.๔
การประเมินผลแบบทดสอบ โดยการวิเคราะห์รายข้อเพื่อคัดเลือก ปรับปรุงข้อสอบ
และการวิเคราะห์ทั้งฉบับ เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบในด้านความเชื่อมั่น
และความเที่ยงตรง
๒. การจัดชุดแบบทดสอบ
กรอนลันด์ (Gronlund) ได้ให้แนวคิดว่า
การจัดชุดแบบทดสอบให้เป็นระบบต้องพิจารณาจากองค์ประกอบต่อไปนี้ คือ
๑)
ชนิดของข้อสอบที่ใช้
๒) พฤติกรรมที่จะวัด
๓)
ความแตกต่างของข้อสอบแต่ละวิชา
๔)
เนื้อหาที่จะวัด
ดังนั้น
ในการจัดชุดแบบทดสอบจึงควรจัดเรียงลำดับข้อสอบตามการใช้ความสามารถของผู้สอบจากระดับที่ง่ายไปถึงระดับที่ยาก
คือ ข้อสอบแบบถูก-ผิด แบบจับคู่ แบบคำตอบสั้น แบบเลือกตอบ
และแบบความเรียงหรืออัตนัย
คูบิสไซน์และบอริช
(Kubisszyn and Borich)
ได้เสนอแนวทางการจัดชุดแบบทดสอบไว้ดังนี้
๑)
ควรจัดข้อสอบที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันหรือชนิดเดียวกันไว้ในตอนเดียวกัน
๒)
การจัดเรียงข้อสอบจากชนิดที่ง่าย (แบบถูก-ผิด)
ไปจนถึงชนิดที่ยาก (แบบความเรียง)
๓)
ควรจัดเรียงข้อสอบให้สามารถอ่านได้ง่าย
โดยจัดระยะรูปแบบการพิมพ์ข้อสอบไม่ให้อัดแน่นจนเกินไป
๔)
ต้องจัดให้ตัวคำถามและตัวเลือกอยู่ในหน้าเดียวกัน
๕)
ควรจัดให้แผนภาพ รูปภาพ
หรือคำอธิบายเกี่ยวกับภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อสอบและข้อสอบ (คำถามและตัวเลือก)
อยู่ใกล้กัน โดยควรให้อยู่ก่อนถึงตัวข้อสอบและให้อยู่หน้าเดียวกันด้วย
๖)
ควรจัดเรียงตัวเลือกที่ถูกหรือคำตอบแบบสุ่ม หลีกเลี่ยงการจัดเรียงที่เป็นระบบ
อย่างใดอย่างหนึ่ง
๗)
ควรกำหนดวิธีการตอบข้อสอบให้ชัดเจนว่าต้องการให้ตอบในแบบทดสอบหรือ
ในกระดาษคำตอบ
๘)
เว้นที่ว่างให้เพียงพอกับการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับผู้เข้าสอบและการสอบ เช่น ชื่อ
นามสกุล เลขประจำตัว รายวิชาที่สอบ
๙)
ตรวจสอบคำชี้แจงของแบบทดสอบว่าเขียนได้ครอบคลุม ชัดเจนเพียงใด
คำชี้แจงแนะนำควรประกอบด้วยจำนวนข้อสอบ วิธีการตอบข้อสอบ หลักการเลือกคำตอบ
และเกณฑ์การให้คะแนน
๑๐)
ตรวจทานแบบทดสอบให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ ทั้งในด้านรูปแบบของข้อสอบ
การจัดเรียงข้อสอบ ภาษาที่ใช้ก่อนจะจัดพิมพ์แบบทดสอบต่อไป
ซึ่งอาจใช้แบบตรวจสอบการจัดชุดแบบทดสอบเป็นเครื่องมือดำเนินการ ดังนี้
แบบตรวจสอบการจัดชุดแบบทดสอบ
(Test
Assembly Checklist)
คำชี้แจง โปรดกาเครื่องหมาย /
ลงในช่องที่ตรงกับความเป็นจริงเกี่ยวกับแบบทดสอบ
รายการ
|
ใช่
|
ไม่ใช่
|
๑. จัดเรียงข้อสอบชนิดเดียวกันไว้ในตอนเดียวกัน
|
|
|
๒. จัดเรียงข้อสอบจากชนิดที่ง่ายไปหาชนิดที่ยาก
|
|
|
๓. จัดพิมพ์ข้อสอบให้สามารถอ่านได้สะดวกและง่าย
|
|
|
๔. จัดตัวคำถามและตัวเลือกอยู่ในหน้าเดียวกัน
|
|
|
๕. จัดแผนภาพหรือข้อมูลสนับสนุนข้อสอบไว้ก่อนถึงตัวข้อสอบ
และอยู่ในหน้าเดียวกัน
|
|
|
๖. จัดเรียงคำตอบที่ถูกแบบสุ่ม
|
|
|
๗. กำหนดวิธีการตอบข้อสอบที่ชัดเจน
|
|
|
๘. เว้นที่ว่างไว้เพียงพอสำหรับการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการสอบ
|
|
|
๙. มีคำชี้แจงแนะนำสำหรับการตอบที่ชัดเจน
|
|
|
๑๐. มีการตรวจแก้แบบทดสอบที่ผิดพลาดแล้ว
|
|
|
๑๑. จัดแบบทดสอบให้มีความยุติธรรมสำหรับผู้เข้าสอบทุกคน
|
|
|
(ปรับปรุงจาก Kubiszyn, Tom and Borich, Gary)
๓. การเขียนคำชี้แจงของแบบทดสอบ
คำชี้แจงของแบบทดสอบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแบบทดสอบ
ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจในการทำข้อสอบให้แก่ผู้สอบปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
และช่วยป้องกันปัญหา หรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการสอบ
ดังนั้นในแบบทดสอบจึงต้องมีคำชี้แจงไว้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้สอบ
ซึ่งแทรกซ์เลอร์ (Payne, Citing
in Traxler) ได้ให้แนวทางในการเขียนคำชี้แจงของแบบทดสอบไว้
๗ ประการ ดังนี้
๑)
ต้องเขียนคำชี้แจงให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบเข้าใจในจุดประสงค์ของการสอบ
๒)
เขียนคำชี้แจงให้มีความสมบูรณ์ ชัดเจน รัดกุมและเฉพาะเจาะจงที่สะดวกต่อการปฏิบัติ
๓)
สิ่งที่สำคัญหรือกิจกรรมใดที่ต้องการเน้นย้ำให้แสดงด้วยข้อความที่ขีดเส้นใต้
อักษรตัวหนาหรือตัวเอน
๔)
เขียนคำชี้แจงแนะนำให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบมีความเข้าใจครอบคลุม
ทั้งก่อนการสอบ ระหว่างการสอบ และหลังการสอบ
๕)
ควรทดลองให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบได้อ่านคำชี้แจงก่อนเพื่อตรวจสอบ
ความเข้าใจ แล้วปรับปรุงแก้ไขให้คำชี้แจงมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
๖)
ควรรักษารูปแบบของการเขียนคำชี้แจงในแบบทดสอบแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน
ให้อยู่ในรูปแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน
๗)
ในบางกรณีอาจต้องอธิบายคำชี้แจงเพิ่มเติมมากกว่าที่เขียนไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนวัยเด็ก
ผู้เรียนที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรม เช่น ผู้เรียนจากต่างชาติ
ผู้เรียนทางการศึกษาพิเศษ
๘)
คำชี้แจงควรประกอบด้วย จุดมุ่งหมายของการวัด ลักษณะของแบบทดสอบ
จำนวนข้อสอบ เวลาที่ใช้ในการสอบ วิธีการตอบและตรวจให้คะแนน
๙)
ถ้าแบบทดสอบฉบับนั้น ประกอบด้วยข้อสอบหลายชนิด
อาจเขียนคำชี้แจงในภาพรวมที่ระบุถึงลักษณะของแบบทดสอบทั้งฉบับ
จำนวนข้อสอบในแต่ละชนิด เวลาที่ใช้ในการสอบ และควรเขียนคำชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้มีลักษณะเฉพาะตามลักษณะชนิดของข้อสอบ
๑๐)
หากจำเป็นต้องการระบุเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำตอบและการตรวจให้คะแนน
ควรกำหนดไว้ในคำชี้แจงด้วย เช่น การตรวจให้คะแนนมีการหักคะแนนการเดาหรือไม่
ต้องระบุให้ชัดเจน
๑๑)
ถ้ากำหนดให้ตอบในกระดาษคำตอบ
ควรชี้แจงให้ผู้สอบระมัดระวังในการตอบโดยตอบให้ตรงกับข้อคำถามแต่ละข้อด้วย
๑๒)
ถ้าต้องการจะนำแบบทดสอบไปใช้ในโอกาสต่อไป
ต้องชี้แจงให้ผู้สอบทราบและห้ามทำเครื่องหมายหรือขีดเขียนใดๆ ลงในแบบทดสอบ
การเขียนคำชี้แจงจะมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอบ
ระดับวัย
ของผู้สอบ และความคุ้นเคยต่อคำชี้แจงของผู้สอบว่ามีมากน้อยเพียงใด
ซึ่งต้องนำมาพิจารณาด้วย
๔.
การจัดพิมพ์ข้อสอบ
การจัดพิมพ์ข้อสอบเป็นขั้นตอนของการผลิตหรือจัดทำแบบทดสอบ
(Reproducting the test)
ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อนวันดำเนินการสอบ
ในการจัดพิมพ์ข้อสอบมีแนวปฏิบัติดังนี้
๑)
จัดพิมพ์ข้อสอบให้สะดวก และง่ายต่อการอ่านสำหรับผู้สอบ และผู้ตรวจข้อสอบ
โดยเว้นระยะระหว่างตัวข้อสอบแต่ละข้อและตัวเลือกให้พอเหมาะ
อย่าให้ชิดกันจนเกินไป
๒)
การพิมพ์ข้อสอบต้องให้มีความถูกต้อง ชัดเจน ทั้งในด้านตัวอักษร ภาษา แผนภาพ
แผนภูมิ หรือข้อมูลที่เป็นส่วนประกอบของข้อสอบ
๓)
การจัดทำแบบทดสอบต้องมีจำนวนเกินกว่าจำนวนที่ต้องการเสมอ
โดยอาจให้มีจำนวนเกินกว่าที่จะใช้จริง ๕-๑๐ ชุด
๔)
การพิมพ์ข้อสอบแบบเลือกตอบ ตัวคำถามและตัวเลือกควรจัดเรียงให้อยู่ในแนวดิ่ง
เป็นสองส่วนของแต่ละหน้า
๕)
การพิมพ์ข้อสอบแบบถูก-ผิด อาจจัดพิมพ์ส่วนที่จะให้ตอบถูกหรือผิดโดย
การกาเครื่องหมาย / หรือ × หรือเขียนวงกลม ขีดเส้นใต้ไว้ด้านหน้า
(ทางซ้าย) หรือด้านหลัง (ด้านขวา)
ของตัวข้อสอบก็ได้ และอาจให้ผู้สอบทำข้อสอบในตัวข้อสอบได้เลย
๖)
การพิมพ์ข้อสอบแบบจับคู่ ควรพิมพ์ให้รายการทั้งสองที่เป็นคำถามและคำตอบ
อยู่ในหน้าเดียวกัน
๗)
ในกรณีที่ข้อสอบบางข้อมีแผนภาพ รูปภาพ ตาราง หรือข้อมูลที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของข้อสอบ ควรจัดพิมพ์ไว้ใกล้กับตัวคำถามและควรอยู่ในหน้าเดียวกัน
เพื่อให้สะดวกต่อการตอบข้อสอบของผู้สอบ
๘)
ข้อสอบแบบเติมคำ หรือตอบแบบสั้น ควรเว้นที่ว่างสำหรับเขียนตอบไว้ต่างหาก
จากตัวคำถาม โดยเรียงลำดับตามแนวดิ่ง
๙)
ถ้าต้องการให้ผู้สอบตอบในกระดาษคำตอบก็ควรออกแบบกระดาษคำตอบให้สะดวกต่อการเขียนตอบและการตรวจให้คะแนน
๑๐)
ควรตรวจทานต้นฉบับของแบบทดสอบให้มีความถูกต้อง
ชัดเจนก่อนการจัดพิมพ์และจัดทำแบบทดสอบทุกครั้ง
และหากยังมีข้อบกพร่องผิดพลาดก็ต้องแจ้งให้ผู้สอบแก้ไขให้ถูกต้องก่อนลงมือทำข้อสอบด้วย
๕.
การกำหนดแผนการสอบ
ในการสอบแต่ละครั้ง
ก่อนดำเนินการสอบ ผู้ดำเนินการสอบ ซึ่งได้แก่ครูผู้สอน
และผู้บริหารจะต้องกำหนดแผนการสอบไว้ให้ชัดเจน โดยกำหนดตารางการสอบที่ระบุวัน เวลา
วิชา และสถานที่สอบแล้วประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบล่วงหน้า
เพื่อให้มีการเตรียมตัวให้พร้อมในการสอบสำหรับผู้สอบ และคณะกรรมการดำเนินการสอบ
หลักเกณฑ์สำคัญในการกำหนดแผนการสอบมีดังนี้
๑)
แผนการสอบต้องมีการครอบคลุมครบถ้วนทุกรายวิชาที่จัดสอบ
๒)
จำนวนที่ใช้สอบแต่ละครั้งไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป และในแต่ละวันไม่ควรกำหนดให้มีการสอบหลายๆ
วิชา เพราะจะทำให้ผู้สอบขาดความพร้อมและเกิดความตึงเครียด หรือเมื่อยล้าเกินไป
จำนวนวันที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงระดับวัยของผู้สอบอีกด้วย
๓)
ระยะเวลาในการสอบแต่ละรายวิชา ควรกำหนดให้เหมาะสม
โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของการสอบ ระดับความยากง่าย และลักษณะของข้อสอบ
ตลอดจนระดับวัยของผู้สอบด้วย
๔)
ต้องประกาศให้ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับแผนการสอบล่วงหน้า
ไม่ควรมีการสอบ โดยที่ผู้สอบและผู้ดำเนินการสอบไม่ทราบมาก่อนล่วงหน้า
๕)
แผนการสอบที่ดีต้องมีความเป็นไปได้ และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติ
๖.
การจัดสถานที่สอบและห้องสอบ ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
๑)
ความสะดวก สถานที่สอบควรเลือกหรือจัดการให้มีความสะดวกในการดำเนินการสอบ
ทั้งในการเดินทางไปสอบ การประสานงานระหว่างการสอบ
๒)
ความสงบเงียบ สถานที่สอบหรือห้องสอบควรเลือกหรือจัดการให้มีความสงบเงียบ
ปลอดจากเสียงและกลิ่นที่จะมารบกวนการดำเนินการสอบ ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนผลการสอบได้
๓)
ความปลอดโปร่ง
สถานที่สอบหรือห้องสอบควรเลือกหรือจัดการให้มีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการสอบ
โดยควรจัดห้องสอบให้มีอากาศปลอดโปร่ง แสงสว่างเพียงพอ ไม่มืดทึบ หรือร้อนอบอ้าว
ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินการสอบ
๔)
ความพอเพียงของที่นั่งสอบ
ควรเลือกหรือจัดห้องสอบที่มีที่นั่งสอบพอเพียงกับจำนวนผู้สอบ ซึ่งในจำนวนห้องหนึ่ง
ควรมีจำนวนผู้สอบประมาณ ๓๐-๔๐ คน โดยมีผู้กำกับการสอบหรือผู้ดำเนินการสอบ ๑ คน
และผู้ช่วยอีก ๑ คน และอาจมีผู้กำกับการสอบเพิ่มอีก ๑
คนต่อจำนวนผู้สอบที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ๒๐-๒๕ คน
สำหรับห้องสอบที่มีขนาดใหญ่
๕)
ความเหมาะสมของโต๊ะและเก้าอี้ ควรจัดโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งสอบให้เหมาะสม
กับระดับวัยของผู้สอบที่จะได้นั่งสอบอย่างสะดวกและสบาย
๖)
ความเป็นระบบ ควรจัดเรียงลำดับที่นั่งของผู้สอบให้เป็นระบบ
โดยอาจจัดให้นั่งตามเลขที่ในบัญชีเรียกชื่อหรือเลขประจำตัวผู้สอบหรือเลขประจำตัวสอบให้ติดต่อกัน
โดยเรียงจากหน้าไปหลังแล้วย้อนกลับมาข้างหน้าวนกันไปจนครบ
เพื่อความสะดวกในการแจกและเก็บแบบทดสอบ ตลอดจน
การกำกับควบคุมการสอบให้มีประสิทธิภาพ
๗. การเตรียมอุปกรณ์การสอบ
ในการสอบแต่ละครั้ง
ผู้ดำเนินการสอบจะต้องเตรียมอุปกรณ์การสอบให้พร้อม อุปกรณ์ที่สำคัญ
ในการสอบก็คือแบบทดสอบ และกระดาษคำตอบ
ซึ่งต้องจัดบรรจุใส่ซองข้อสอบไว้ให้เรียบร้อย
อุปกรณ์อื่นๆ ได้แก่ ใบรายงาน ใบรายชื่อสำหรับผู้สอบลงชื่อเข้าสอบ
ซองใส่กระดาษคำตอบ เครื่องมือหรืออุปกรณ์สำหรับเย็บกระดาษคำตอบ
และต้องแจ้งให้ผู้สอบเตรียมอุปกรณ์การสอบสำหรับตนเองมาให้พร้อม
เช่น ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด
และเครื่องคำนวณในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ สำหรับอุปกรณ์การสอบ
ที่จะแจกให้ผู้สอบ เช่น แบบทดสอบและกระดาษคำตอบ
ควรจัดเตรียมไว้ให้มีจำนวนมากกว่าจำนวนผู้สอบประมาณ ๕-๑๐ % เพื่อสำรองไว้ใช้ในกรณีที่กระดาษคำตอบขาด
แบบทดสอบพิมพ์ไม่ชัดหรือไม่สมบูรณ์
๘. การเตรียมผู้ดำเนินการสอบ
การสอบจะดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุจุดมุ่งหมายของการสอบหรือไม่
เพียงใดขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการสอบเป็นสำคัญ
ซึ่งจะต้องจัดเตรียมให้ครบถ้วนตามจำนวนที่ต้องการและควรมี
การประชุมชี้แจงแนวปฏิบัติหรือจัดทำคู่มือดำเนินการสอบสำหรับแจกให้ผู้ดำเนินการสอบทุกคนได้ศึกษาและยึดถือเป็นแนวปฏิบัติให้ถูกต้อง
การดำเนินการสอบ
ในการดำเนินการสอบมีหลักการที่สำคัญที่ผู้ดำเนินการสอบต้องคำนึงถึงก็คือจะต้องให้ผู้สอบ
ทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต้องการจะวัดอย่างเท่าเทียมกัน
โดยจะต้องจัดสภาพการสอบให้ผู้สอบมีความสะดวกสบายพอสมควร
สร้างบรรยากาศและเจตคติที่ดีต่อการสอบ
ให้คำชี้แจงแนะนำการตอบแบบทดสอบอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
ควบคุมดูแลการสอบอย่างทั่วถึง และขจัด
สิ่งต่างๆ ที่มารบกวนสมาธิในการสอบทำให้ผู้สอบมีความวิตกกังวล
ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนการสอบ เพราะถ้าผู้สอบมีความวิตกกังวลในขณะสอบแล้วก็จะตอบข้อสอบได้คะแนนไม่ดี
(Gronlund) ดังนั้น
ในการดำเนินการสอบจึงต้องพยายามดำเนินการอย่างยุติธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้สอบ
ซึ่งมีแนวปฏิบัติ ดังนี้
๑.
การดำเนินการก่อนเริ่มสอบ
๑)
ตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วๆ ไปของห้องสอบ ที่นั่งสอบ แผนผังที่นั่งสอบ
และอุปกรณ์ในการสอบ
๒)
ให้ผู้สอบเข้าห้องสอบก่อนเวลาสอบ ๑๕ นาที โดยให้นั่งตามแผนผังที่นั่งสอบ
๓)
สร้างบรรยากาศและแรงจูงใจในการสอบ
โดยผู้ดำเนินการสอบควรพูดกระตุ้นจูงใจให้ผู้สอบเห็นคุณประโยชน์ของการสอบ
มีความตั้งใจในการตอบข้อสอบอย่างเต็มความสามารถ
ให้กำลังใจผู้สอบ ไม่ข่มขู่ พูดหรือกระทำสิ่งใดๆ
ที่จะทำให้ผู้สอบมีความวิตกกังวล ตึงเครียดหรือขวัญเสีย
๔)
แจกแบบทดสอบและอุปกรณ์ในการสอบให้ผู้สอบ
๕)
ให้ผู้สอบเขียนชื่อ รายการต่างๆ ลงในกระดาษคำตอบให้ครบถ้วน
ตามที่กำหนดไว้
๖)
ให้คำชี้แจงในการสอบ
โดยชี้แจงเฉพาะสาระที่ปรากฏในคำชี้แจงของแบบทดสอบเท่านั้นและควรให้โอกาสผู้สอบได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ
จนเข้าใจก่อนที่จะลงมือตอบข้อสอบ
แต่พึงระวังในการตอบข้อซักถามจะต้องไม่ให้เป็นการชี้แนะหรือบอกใบ้คำตอบ
๒.
การดำเนินการสอบ
๑)
ต้องป้องกันหรือขจัดสิ่งต่างๆ ที่จะมารบกวนสมาธิในการสอบของผู้สอบ
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเสียงต่างๆ เช่น ไม่เดินพลุกพล่าน เสียงดัง ไม่คุยเสียงดัง
หลีกลี่ยงการประกาศ
จากเครื่องขยายเสียง และให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
๒)
ควบคุมดูแลการสอบอย่างทั่วถึง โดยในช่วงเริ่มต้นของการสอบ ผู้ดำเนิน
การสอบอาจเดินตรวจดูความเรียบร้อยทั่วๆ ไปก่อน
แล้วจึงมายืนกำกับการสอบในที่สามารถมองเห็นผู้สอบได้อย่างทั่วถึง
ไม่ควรเดินไปมาเพราะจะเป็นการรบกวนสมาธิของผู้สอบ
๓)
ต้องควบคุมเวลาสอบให้เป็นไปตามตารางที่กำหนดไว้ โดยไม่ให้ผู้สอบลงมือทำข้อสอบก่อนเวลาหรือเกินเวลา
การเตือนเวลาควรเตือนเพียง ๒ ครั้ง คือ เมื่อหมดครึ่งเวลา
และก่อนจะหมดเวลาอีกประมาณ ๓ หรือ ๕ นาที
การเตือนเมื่อหมดครึ่งเวลาก็เพื่อให้ผู้สอบได้พิจารณาการทำข้อสอบ
ที่ผ่านมาว่าเหมาะสมกับเวลาหรือไม่ จะได้ปรับเปลี่ยนกับเวลาให้เหมาะสมกับเวลาที่เหลือ
ส่วนการเตือนก่อนหมดเวลาสอบก็เพื่อให้ผู้สอบได้ตรวจทานความเรียบร้อยก่อนส่งกระดาษคำตอบ
๔)
ต้องควบคุมดูแลไม่ให้เกิดการทุจริตในการสอบ
โดยการป้องกันไว้ล่วงหน้าด้วยการจัดที่นั่งสอบให้ห่างกันที่ผู้สอบไม่สามารถดูคำตอบหรือบอกข้อสอบกันได้
และในขณะสอบผู้ดำเนินการสอบก็ต้องสังเกตพฤติกรรมการสอบให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง
เพื่อไม่ให้โอกาสในการทุจริต
ซึ่งบอทท์ (Bott) ได้ให้ข้อคิดว่า
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันทุจริตในการสอบก็คือการขจัดโอกาสที่จะทำให้เกิดการทุจริต
ในกรณีที่มีการทุจริตควรดำเนินการอย่างละมุนละม่อม
ไม่เอะอะโวยวายให้เสียขวัญเสียสมาธิกันทั้งห้อง
๕)
ถ้ามีผู้สอบยกมือถามระหว่างสอบ ผู้ดำเนินการสอบควรเดินไปหา
โดยไม่ให้รบกวนผู้สอบคนอื่นๆ แล้วจึงพิจารณาว่าควรจะตอบคำถามหรือไม่
ซึ่งโดยปกติจะไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสอบ หากเห็นว่าจำเป็นต้องตอบคำถามนั้นจะต้องระมัดระวัง
ไม่ให้เป็นการชี้แนะเกี่ยวกับ
การตอบข้อสอบ และไม่เป็นธรรมกับผู้สอบคนอื่นๆ
๖)
ผู้ดำเนินการสอบต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ มีความยุติธรรม บริสุทธิ์ใจ
ไม่ลำเอียง โดยให้โอกาสผู้สอบได้แสดงความสามารถในการตอบข้อสอบอย่างเท่าเทียมกัน
๓.
การดำเนินการเมื่อหมดเวลาสอบ
๑)
สั่งให้ผู้สอบวางดินสอหรือปากกา หยุดทำข้อสอบทันที
ไม่ควรให้โอกาสผู้สอบบางคนทำข้อสอบต่อไป แม้จะใช้เวลาเพียง ๑-๒ นาที เพราะจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับผู้สอบคนอื่นๆ
๒)
เก็บรวบรวมกระดาษคำตอบและแบบทดสอบคืน ตรวจนับให้ครบถ้วน
และจัดเรียงกระดาษคำตอบตามลำดับเลขที่ของผู้สอบ
๓)
บรรจุกระดาษคำตอบและแบบทดสอบใส่ซองเก็บและนำส่งคืนผู้ที่รับผิดชอบหรือผู้เกี่ยวข้อง
เพื่อการตรวจให้คะแนนและการประเมินผลต่อไป
การนำผลการสอบไปใช้
การทดสอบจะเกิดคุณประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนการสอน
ถ้าหากว่าหลังดำเนินการสอบและตรวจให้คะแนนแล้ว ได้มีการนำผลการสอบไปใช้ให้คุ้มค่า ผลการทดสอบสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง
และผู้บริหารได้ดังนี้
๑.
การใช้ผลการทดสอบพัฒนาผู้เรียน
ครูผู้สอนสามารถนำผลการทดสอบไปใช้พัฒนาผู้เรียนได้ใน ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑)
การวินิจฉัยผู้เรียน (Diagnosis)
เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลก่อนการเรียนการสอน
เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนว่ายังมีข้อบกพร่องในเรื่องใด
ครูผู้สอนจะได้จัดการซ่อมเสริมความรู้พื้นฐานให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป
๒)
การปรับปรุงการเรียนรู้ เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลระหว่างเรียน (formative
Evaluation)
เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่
หากพบว่าผู้เรียนยังไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้หรือยังมีข้อบกพร่องในเรื่องใด
ครูผู้สอนก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข
โดยการจัดสอนซ่อมเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้
ที่กำหนดไว้
๓)
การตัดสินผลการเรียน เป็นการใช้ผลการทดสอบ หรือการประเมินผลรวม (Summative
Evaluation) หลังการสิ้นสุดการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา
เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียน
มีความรู้ความสามารถในรายวิชานั้นเพียงใด
แล้วพิจารณาตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดว่าผู้เรียน
แต่ละคนควรจะได้ระดับผลการเรียนใด
๒.
การใช้ผลการทดสอบปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เมื่อครู
จัดการเรียนการสอนแต่ละรายวิชา และได้มีการทดสอบแล้ว ผลการทดสอบก็คือตัวชี้ที่แสดงถึงผลการเรียนของผู้เรียน
ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากการสอนของครูนั่นเอง
ถ้าผลการเรียนหรือผลการทดสอบอยู่ในเกณฑ์ดีก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการสอนที่ดีมีประสิทธิภาพ
แต่ถ้าผลการเรียนหรือผลการทดสอบอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการสอนที่ไม่เหมาะสม
ดังนั้น ผลการทดสอบ
จะเป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
ให้ครูพิจารณาทบทวนปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
ให้มีประสิทธิภาพ ดังแสดงในภาพที่ ๒-๓
ภาพที่
๒-๓
การใช้ผลการทดสอบปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู
๓. การใช้ผลการทดสอบรายงานผู้ปกครอง
การรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครองทราบ
เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียน
หรือการจัดการเรียนการสอนของครูว่าได้จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ผลเป็นอย่างไร
และจะทำให้ผู้ปกครองได้ร่วมมือ
ในการปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียนด้วย
โดยทั่วไปโรงเรียนจะรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ โดยใช้สมุดรายงานประจำตัวผู้เรียน
เพื่อให้ผู้ปกครองได้ทราบถึงผลการประเมิน
การผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ และผลการสอบปลายภาคหรือปลายปี
๔.
การใช้ผลการทดสอบเป็นข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
ผู้บริหารโรงเรียนจำเป็นต้องมีข้อมูลสารสนเทศ (Information) สำหรับประกอบการตัดสินใจในการบริหารงาน
จึงจะทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ผลการทดสอบของแต่ละรายวิชาหรือโดยภาพรวม
ทั้งโรงเรียนถือว่าเป็นข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่ผู้บริหารสามารถนำมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา
หรือปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน
ซึ่งอาจจะมีการจัดทำแผนหรือโครงการพัฒนาการเรียนการสอนของรายวิชาต่างๆ
ที่ปรากฏผลว่าผลการทดสอบหรือผลการเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้
สรุป
การบริหารการสอนเป็นกลไกที่ช่วยให้การดำเนินการสอบมีความเป็นระบบ
เรียบร้อย ยุติธรรม และได้ผลการสอบที่ถูกต้อง เที่ยงตรง
ซึ่งจะต้องอาศัยหลักการบริหารการสอบที่สำคัญ คือ
กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้ชัดเจน มีแผนการดำเนินงาน
มีแนวปฏิบัติในการดำเนินการสอบที่เหมาะสม
มีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ดำเนินการให้ผู้สอบได้รับความสะดวกสูงสุด
มีความยุติธรรม และ
มีประสิทธิผลในการดำเนินงาน ดังนั้น
ในการบริหารการสอบจึงต้องมีการวางแผนการสอบ การดำเนิน
การสอบ และนำผลการสอบไปใช้ให้คุ้มค่า ครอบคลุม ทั้งในการพัฒนาผู้เรียน
ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนของครู รายงานผลต่อผู้ปกครอง
และใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา
ในการตัดสินใจแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพการศึกษา (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, ๒๕๕๓ : ๒๒๕-๒๔๓)
เอกสารอ้างอิง
ชวาล แพรัตกุล. (๒๕๑๘). เทคนิคการวัดผล.
พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช.
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (๒๕๕๓). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา.
พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ:
เฮ้าส์ ออฟ เดอร์มิสท์.
วิเชียร เกตุสิงห์. (๒๕๑๗). การวัดผลการศึกษา.
พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแห่งชาติ.
สมนึก ภัททิยธนี. (๒๕๓๕). การประเมินผลและสร้างแบบทดสอบ.
[ม.ป.ท.].