วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง วิจารณ์เรื่องสั้น เรื่อง เราหลงลืมอะไรบางอย่าง



                นักเขียนได้สร้างสรรค์ผลงานทางวรรณกรรมไว้หลายหลายรูปแบบ  ทั้งกวีนิพนธ์  นวนิยาย  
รวมถึงเรื่องสั้นตามแต่ความถนัด  ความสนใจ  ความนิยมส่วนบุคคล หรือหากต้องการเปลี่ยนแนวการเขียนบ้างก็คงไม่ผิดประการใด  ซึ่งต่างคนต่างมีความอิสระในการเรียงร้อยถ้อยคำผ่านทางตัวอักษร เพื่อนำเสนอแนวคิด  จินตนาการที่ถ่ายทอดผ่านทางเรื่องราวให้ออกสู่สายตาสาธารณชนบนเส้นทางสายวรรณกรรม
                เรื่องสั้น เรื่อง เราหลงลืมอะไรบางอย่าง เป็นอีกหนึ่งผลงานทางด้านวรรณกรรมที่ได้รับการนำเสนอผ่านทางงานเขียนของวัชระ สัจจะสารสิน ผู้เขียนเลือกที่จะนำเสนอมุมมองของสังคมที่หลงไปตามกระแสนิยม ถูกเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าครอบงำ จนลืมไปว่ามนุษย์อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ลืมความมีน้ำใจต่อกัน เพราะมัวแต่ระแวงแหนงใจกัน กลับหลงไปกับอำนาจเผด็จการแทน และนำเสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการแสวงหาการปฏิวัติที่แท้จริง ที่คนในสังคมทั้งสังคมเมืองและสังคมชนบทมักจะหลงลืมและ
อยู่ร่วมกันอย่างผ่านไปวันๆ ขาดจิตสำนึกทางสังคม ชีวิตเคลื่อนไปตามกาลเวลาอย่างอับจนสติปัญญา
ทุกชีวิตดำเนินไปอย่าง วงล้อทางความรู้สึก
                เรื่องสั้น เรื่อง เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของวัชระ สัจจะสารสิน ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๑ ประกอบด้วยเรื่องสั้น จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่  ๑. นักปฏิวัติ  
๒. เรื่องเล่าจากหนองเตย  ๓. หาแว่นให้หน่อย  ๔. เพลงชาติไทย  ๕. ในวันที่วัวยังชนอยู่  ๖. บาดทะยัก  ๗. ราตรีมีชีวิต...  ๘.วาวแสงแห่งศรัทธา  ๙. แก้วสองใบ  ๑๐. วิทยานิพนธ์ดีเด่น  ๑๑. ฟ้าเดียวกัน  ๑๒. วันหนึ่งของชีวิต ซึ่งจะนำเสนอในมุมมองที่ว่ามนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่างเป็นเรื่องไป

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่อง นักปฏิวัติ
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของการปฏิวัติผ่านตัวละครที่เป็นนักศึกษาหนุ่ม ตัวละครได้รับมอบหมายให้ทำรายงาน ทว่าเขากลับเลินเล่อไม่ลงมือทำงานตั้งแต่เนิ่น มาตื่นตัวคิดทำเอาคราวหลัง
ตอนเหลือเวลาอาทิตย์สุดท้าย ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                อาทิตย์ที่แล้ว  เขาตกอยู่ในสภาพไม่ผิดอะไรกับหมาจนตรอก สับสน วุ่นวาย
และนำไปสู่การพลาดหวัง  ทุกอย่างที่เขาประสบเขาไม่โทษใครทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ เพื่อนๆ หรือห้องสมุด  เขายอมรับในความไม่เอาไหนของตัวเอง  เขาปล่อยตัวเละเทะ  เรื่อยเฉื่อย  ไร้ระเบียบกับชีวิตและการเรียน  อาจารย์สั่งงานไว้ตั้งแต่ต้นเทอม 
แต่เขากลับตื่นตัวมาคิดทำเอาเมื่อเวลาล่วงผ่านจนเหลืออาทิตย์สุดท้าย
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๖)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความหลงลืมของตัวละครที่ทำตัวเละเทะ ไม่สนใจชีวิตและ
การเรียนของตน กว่าจะสำนึกได้ก็จวนตัวเสียแล้ว ซึ่งตัวละครไม่เรียงลำดับความสำคัญของแต่ละสิ่ง
จึงทำให้เขาต้องเร่งรีบในการทำงานในระยะเวลาที่เหลือน้อย
                เนื้อเรื่องอ้างถึงการปฏิวัติของแต่ละประเทศพอคร่าวๆ ผ่านทางการอ่านของตัวละครเอง ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                ...เขาเริ่มคลำทางเจอและสามารถวางขอบข่ายของเนื้อหาโดยรวม  จากนั้นก็ตะลุยอ่าน
ทฤษฎีการปฏิวัติอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นของคาร์ล มาร์กซ์, เท็ด โรเบิร์ตเกอร์,
เจริส เดเบรย์, คุสตาฟว์ เลอบอง ฯลฯ  เขาท่องไปในหลายประเทศเพื่อศึกษาขบวนการ
ปฏิวัติของแต่ละประเทศ  เขาได้ไปเจอเลนินที่รัสเซีย  นั่งจิบชากับเหมาที่เมืองจีน 
ขอต่อบุหรี่จากเช เกวาราที่โบลิเวีย  ไปนั่งฟังโฮจิมินห์ปราศรัยต่อฝูงชนที่เวียดนาม 
ทุกเหตุการณ์และหลากหลายผู้นำปฏิวัติที่เขาได้สัมผัสล้วนทำให้หัวใจพองโต  ขนลุก
รู้สึกเหมือนวิญญาณเร่าร้อนกำลังวิ่งพล่านอยู่ในร่าง  เขาสนุกกับมันจริงๆ ...สนุกจนลืม
วันเวลา(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๘)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงประเทศหลายประเทศที่เลือกการปฏิวัติเป็นทางออกของการพัฒนาประเทศและจบลงด้วยความเจริญก้าวหน้าของประเทศนั้นๆ เป็นส่วนใหญ่  และผู้เขียนได้แสดง
ให้เห็นความหลงลืมของมนุษย์ที่จดจ่อกับการทำสิ่งใดแล้ว ย่อมลืมแม้กระทั่งวันเวลา
ตัวละครยังแสดงถึงความหลงลืมอย่างหนึ่งที่ถือว่าไม่ควรหลงลืมอย่างยิ่ง นั่นคือการติดตามข่าวสารบ้านเมือง 
จนทำให้เขาพลาดข่าวสำคัญของประเทศ ณ ขณะนั้น คือการปฏิวัติที่อาจเกิดขึ้น ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                ...ระหว่างรอข้าว เขางัดเอาต้นฉบับมาอ่านทวนอีกรอบ  ขณะเดียวกันหูแว่วถึงถ้อย
สนทนาของชายสองคนที่โต๊ะข้างๆ  พวกเขากำลังสาธยายถึงความล้มเหลวของรัฐบาล
ชุดปัจจุบันและแนวโน้มของทหารที่อาจจะคิดทำการปฏิวัติเป็นทางออกเพื่อแก้ปัญหา
จริงหรือนี่  เขาอุทานในใจ  ละสายตาจากต้นฉบับ
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา  เขาแทบไม่รู้เรื่องข่าวสารบ้านเมือง รู้แต่เพียงว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังง่อนแง่นเต็มทน  แต่ไม่เชื่อว่าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น
กินข้าวเสร็จ  เขารีบเดินออกจากซอยเลียบถนนใหญ่ไปจนถึงท่าเรือข้ามฟาก  แวะเข้าแผงหนังสือเพื่อดูกระแสข่าวจากหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์  จริงด้วย  แทบทุกฉบับล้วนเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้  มันน่าสนใจทีเดียว  แต่เขากลับเลือกซื้อบุหรี่
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๒๕-๒๖)
                เนื้อเรื่องที่นำไปสู่การตัดสินใจของตัวละคร ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
จริงๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า  เขาไม่น่าคิดมาก  สิ่งที่เขาทำน่าจะยิ่งใหญ่กว่าด้วยซ้ำ  การยึดอำนาจของกลุ่มทหารในบ้านเมืองเราเท่าที่มีมาเป็นการ รัฐประหารธรรมดาๆ เท่านั้นเอง จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการปฏิวัติ  เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่า  ทำไมคนในประเทศนี้ถึงใช้คำว่า ปฏิวัติกันจนเกร่อ
แต่วันนี้แหละ  เขาจะทำให้คำว่า ปฏิวัติ มีความหมายแท้จริงขึ้นมาอีกครั้ง(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๒๖)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความเขลาของตัวละครที่ขาดการติดตามข่าวสาร สถานการณ์ของบ้านเมือง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระหยิ่มใจในการปฏิวัติของเขาที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
                บทสรุปของเรื่อง นักปฏิวัติจบด้วยการหักมุมให้ผู้อ่านได้คิดไม่น้อย หลังจากที่เขาชั่งใจแล้วว่าควรทำประการใด เขาตัดสินใจโยนรายงานที่ตั้งหน้าตั้งตาทำตลอดทั้งอาทิตย์ลงถังขยะ แล้วเดินทางกลับห้องพัก จนเขาตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                เมื่อกลับถึงห้อง  เขาโถมตัวฟุบกับเตียง  ถอนหายใจเฮือกใหญ่  พลิกขึ้นมานอนหงาย
ก่อนยกมือก่ายหน้าผาก นิ่งคิด...
นักปฏิวัติที่เขาทำรายงานเหล่านั้นตายไปหมดแล้วนี่หว่า…!
เขาพรวดลุกขึ้นนั่ง  กวาดสายตาไปทั่วห้อง  พื้นยังเขลอะไปด้วยฝุ่น  มวลหมู่หยากไย่
ขึงระโยงรยางค์เต็มเพดาน  กองหนังสือเกี่ยวกับเรื่องปฏิวัติยังวางสะเปะสะปะ
อยู่กับเศษกระดาษ  ซองบะหมี่และรองเท้าเหม็นๆ  ถ้วยกาแฟและจานข้าวสุมอยู่ในกะละมังส่งกลิ่นบูด  ผ้ากองโตยังเป็นที่อยู่ของฝุ่นและแมลงสาบ
ช่างเละเทะอะไรอย่างนี้  นานแล้วซินะที่เขาไม่ได้ทำความสะอาดห้อง...
เขาเดินไปหลังห้อง  แล้วเริ่มจับไม้กวาด...(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๒๗-๒๘)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงการจบแบบหักมุมของเรื่องราวทั้งหมด ตัวละครตัดสินใจที่จะปฏิวัติห้องของตัวเอง แทนที่จะไปนำเสนอรายงานเรื่องการปฏิวัติที่เขาเพียรทำเป็นอาทิตย์ที่หน้าชั้นเรียน
ผู้เขียนสื่อถึงการปฏิวัติในมุมมองที่น่าคิดทีเดียว แท้จริงแล้วการปฏิวัติเป็นสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิด พินิจพิจารณาอย่างรอบคอบมาแล้วหรือเกิดจาการเอาตัวรอดของมนุษย์กันแน่ เพราะมนุษย์มัวแต่สนใจ
เรื่องภายนอกจนหลงลืมที่จะหันมามองสภาพความเป็นอยู่ของตนก่อน หากเริ่มที่ตนก่อนแล้วสังคมคงเป็นไปในทางที่ดีเป็นแน่แท้

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องเรื่องเล่าจากหนองเตย
                ผู้เขียนได้นำเรื่องราวของความแบบฝังหัวของคนไทย ผ่านทางอาถรรพ์ของหนองน้ำที่ชื่อว่าหนองเตย ซึ่งมี
ตัวละครเป็นผู้สังเกตเหตุการณ์ของเรื่อง อาถรรพ์หนองเตยที่ได้ฟังจากเรื่องเล่าปากต่อปากจากผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน 
ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                เราคงไม่ใช่รุ่นแรกหรือรุ่นสุดท้ายที่ความทรงจำเกี่ยวกับพรายน้ำถูกยัดเยียดใส่หัวสมอง
ตั้งแต่จำความได้  ผู้ใหญ่ได้เล่าถึงตำนานพรายน้ำแห่งหนองเตยไม่ผิดเพี้ยนแตกต่างกันนัก
แม้เป็นตำนานอันชวนตระหนก  แต่ในความคิดของเราเป็นเสมือนการเปิดโลกอีกใบหนึ่งให้ทะยานก้าวท่องไป  แม้เป็นโลกที่ลึกลับและไม่เข้าใจ  ทว่าเสน่ห์มันช่างหอมหวาน  พวกเราจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ  นัยน์ตาฉายแววอยากรู้อยากเห็น  พรายน้ำเป็นมาอย่างไร 
อยู่ในรูปลักษณ์ใด  เราแทบไม่สนใจจดจำ  แต่สิ่งที่ทำให้หูผึ่งขนลุกเกรียวกลับเป็นเรื่องความน่ากลัวของมันต่างหาก  มันสิงอยู่ในทุกอณูของหนองเตย  ใครก็ตามบังอาจล่วงล้ำ
เข้าไปในอาณาบริเวณของมัน  ผู้นั้นจะถูกกระชากลากถูให้จมดิ่งสู่ห้วงอาณาจักรแห่งมัน กลายเป็นทาสช่วงใช้ที่มิอาจกลับไปเกิดในภพหน้า(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๓๒)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความเชื่อแบบฝังหัวของตัวละครที่มีต่ออาถรรพ์หนองเตยที่ถูกเล่าต่อๆ กันมาของคนในหมู่บ้าน โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดพิจารณาอย่างรอบคอบเสียก่อน
ผู้สังเกตเหตุการณ์ได้กล่าวถึงประเด็นที่เป็นจุดพลิกผันของความเชื่อเรื่องอาถรรพ์หนองเตย ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                “ผมคิดว่าการที่น้าชัยลุกขึ้นมาพลิกฟื้นหนองเตยนั้น  เปรียบเสมือนการละลายตำนาน
ความเชื่อที่เกี่ยวกับหนองเตยให้เลือนจางลงแล้วแทนที่ด้วยความอุดมสมบูรณ์แห่งพันธุ์พืช
และเหล่าสัตว์เลี้ยง  เราต่างปลาบปลื้มใจไม่น้อยที่ความเขียวสดได้เข้ามาแทนที่ความมืดดำ
ในอดีต  ผมถึงกับนึกว่า  จบสิ้นกันทีสำหรับตำนานความเชื่อที่ฝังรากลึกในหมู่บ้านมา
เนิ่นนาน  ต่อไปคงมีแต่ความสุขสดใสกับพื้นดินแห่งนี้เสียที  และนั่นอาจหมายถึงทิศทาง
สู่ความอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้านเช่นกัน  ผมคาดหวังเต็มเปี่ยม  มิหวาดหวั่นลังเล
เช่นเมื่อก่อน(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๕๑)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวที่ทำให้คลายความเชื่อเรื่องอาถรรพ์หนองเตยลงไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นความเชื่อแบบฝังหัวก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของมนุษย์อยู่
                บทสรุปของเรื่องนี้ จบลงด้วยความเชื่อแบบฝังหัวของตัวละครเช่นเดิม ที่แม้จะได้รับการศึกษาระดับสูง แต่ก็ยังมิคลายจากความเชื่อแบบเดิม ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                เราสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นตำเสายักษ์ส่ายไหวรุนแรงคล้ายดังปีศาจร้ายกำลังแสยะยิ้มเริงร่า
สนุกสนาน  พรายน้ำคล้ายกำลังหัวร่อต่อกระซิกกันลั่นหนองเตย  ภาพเก่าๆ กำลังผุดพราย
ขึ้นมาอีก  เราคล้ายตกอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่าง  สมองแข็งเกร็ง  แข้งขาตายตรึงอยู่กับที่ 
เสียงโหยหวนของอะไรบางอย่างแผ่วกังวานมาแต่ไกล  เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 
ครั้นตั้งสติได้  เงยหน้ามองฟ้า  ช่างมืดครึ้มอะไรเช่นนี้  เราตัดสินใจหันหลังกลับแล้ววิ่งสู่
หมู่บ้าน... (วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๖๒-๖๓)
จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความหลงลืมของมนุษย์ที่แม้จะได้รับการศึกษาที่มีกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม เรื่องความเชื่อแบบฝังหัวกลับส่งผลให้มนุษย์หลงลืมที่จะนำเอาวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาคิดพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความสมเหตุสมผลของความเชื่อนั้นๆ

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องหาแว่นให้หน่อย
                ผู้เขียนได้ใช้เหตุการณ์ช่วงการปฏิวัติในคืนหนึ่งเป็นตัวดำเนินเรื่อง ผ่านทางตัวละครผู้เป็นสามีที่บอกภรรยาว่าจะออกไปข้างนอกเพื่อไปสังเกตสถานการณ์ด้านนอก ทว่าเขากลับมุ่งไปหาโสเภณีคนหนึ่ง และร่วมสัมพันธ์สวาทกับเธอ โดยไม่สนใจข่าวสารบ้านเมืองที่เขาต้องการติดตาม ไม่นึกถึงภรรยาและลูกๆ ของตนเลย ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                ภาพข่าวในทีวียังคงเคลื่อนไหว  เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก  จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว 
หล่อนพลิกร่างขึ้นทาบทับ  ก้มลงไซ้ซอกคออีกรอบ  เขาจู่โจมกลับพลิกร่างขึ้นข้างบน 
ซบหน้าลงแนบอกอิ่ม  กอดรัดฟัดเหวี่ยงเกลือกกลิ้งบนเตียงนอนนุ่ม  เขาไม่นึกว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างจะเริ่มต้นรวดเร็วปานนี้  หล่อนมักเซอร์ไพรส์ด้วยการจู่โจมหนักหน่วงอย่างนี้
เสมอ...(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๗๐)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่าความต้องการทางเพศที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ ทำให้หลงลืมความถูกต้องตามครรลองธรรม  ครอบครัวของตน หรือแม้กระทั่งความสนใจก่อนหน้านี้เสมอ
                เนื้อเรื่องกล่าวถึงการปฏิวัติเล็กน้อย ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                “ ‘อ่านว่า ปะ-ติ-วัด  เขาลากเสียงช้าๆ หล่อนพยายามจำ
ปา-ตี-วัด
ไม่ใช่  เอาใหม่  จำดีๆ นะ  อ่านว่า ปะ-ติ-วัด
หมายถึงอะไรล่ะ หล่อนแทรกถามขึ้น
ก็...’  เขาพยายามนึก การเข้าไปยึดอำนาจจากรัฐบาลมาเป็นของตัวเอง’  เขาไม่อยาก
อธิบายอะไรมาก  เลยบอกออกไปอย่างนั้น(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๗๖)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงทัศนะของการปฏิวัติของคนๆ หนึ่งที่ต้องการบอกกับอีกคนเพื่อความง่ายต่อการเข้าใจ  ซึ่งอาจไม่ใช่ความหมายของการปฏิวัติที่แท้จริงเท่าใดนัก
                บทสรุปของเรื่องราวจบลงด้วยการปิดท้ายเรื่องให้ฉุกคิด ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                “ ‘อย่าบ่นไปหน่อยเลยน่า  ก็แค่อาบน้ำ  กินข้าว  ไม่เห็นจะต้องใช้สายตาเลย  คุณทำทุกวัน
อยู่แล้วนี่  ไม่ใช่อ่านหนังสือสักหน่อย  แหม  แค่นี้จะเป็นจะตาย  ทีทำอย่างว่าไม่เห็นต้อง
ใส่แว่นเลย  ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้
...เขาเปิดฝักบัวทิ้งไว้  เบี่ยงตัวหลบสายน้ำ  รู้สึกหนาวขึ้นมาจับจิต  เอื้อมไปปิดฝาชักโครก 
นั่งมองสายน้ำกระทบพื้น  ตาเขาพร่าไปหมด  รู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในอีกโลกหนึ่ง 
โลกที่มีแต่ความพร่ามัว  เลือนราง  ไม่มีอะไรชัดเจน  สัญชาตญาณเดิมๆ เท่านั้นที่
ประคับประคองนำพาเขาไป  เมื่อไหร่เขาจะกลับสู่โลกเดิมที่สว่างไสวและคุ้นเคยเสียที
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๘๑)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่าแว่นตาเปรียบเสมือนคุณธรรมที่คอยกำกับมนุษย์ให้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร หากปราศจากคุณธรรมแล้วย่อมหลงลืมดังสายตาที่พร่ามัว มองอะไรไม่ชัดเจน มีเพียงความต้องการด้านราคะและความเคยชินเท่านั้นที่อาศัยสัญชาตญาณคอยควบคุมการกระทำมนุษย์

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องเพลงชาติไทย
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความรักชาติในมุมมองที่เกินพอดีผ่านการยืนตรงเคารพเพลงชาติ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                เอาเลยครับ  แจ้งความเลย  เห็นตำรวจยืนอยู่หน้ามหาลัยสองสามคน  แต่ผมสงสัยจังว่า
การไม่ยืนตรงเคารพเพลงชาติมี่มันจะเป็นความผิดด้วยหรือ  ถ้าผิดจะเป็นข้อหาอะไร
หรือครับ  หรือว่าจะเป็นข้อหาทำลายความมั่นคงของชาติ  หรือข้อหาขายชาติ  หรือข้อหา
การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์  หรือร้ายแรงถึงขั้นการกระทำอันเป็นภัยต่อชาติในการ
ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย...’”  (วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๕๑)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วความรัก ความเคารพในชาติต้องแสดงออกด้วยการยืนตรงเคารพเพลงชาติหรือนี่เป็นเพียงการกระทำหนึ่งที่มนุษย์ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา จนหลงลืมที่จะแสดงออกซึ่งความรัก ความเคารพในชาติทางด้านอื่น
                ผู้เขียนยังได้นำเสนอเรื่องราวของการรักชาติแบบคลั่งชาติของตัวละครเป็นการปิดท้ายเรื่อง ดังข้อความ
ตอนหนึ่งที่ว่า
                                ครั้นเข้าท้ายเพลง  เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางตลาด  เครื่องขยายเสียงเกิดดับไปดื้อๆ 
เพลงชาติยังไม่จบ  ชาวตลาดทำหน้าเลิ่กลั่ก  แหงนหน้าขึ้นมองลำโพงดอกใหญ่สูงลิบ 
ยังไม่มีใครนั่ง  ตำรวจหนุ่มออกอาการหงุดหงิด  เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงอีกคำรบ  สะกดทุกคน
ยืนนิ่งงัน  งงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น  น้าแสงเอาผ้าขาวม้าพาดคอ  แล้วแหกปากขึ้นลั่น- -
สละเลือดทุกหยาด  เป็นชาติพลี  เถลิงประเทศ  ชาติไทยทวีมีชัยชโย
ชัดถ้อยชัดคำ  ถูกต้องมิผิดเพี้ยน  เพลงชาติจบลงจนได้
แปลก!-  ยังไม่มีใครนั่ง
มึงล้อเลียนประเทศชาติหรือไง  ไอ้บ้า!’
ด้ามปืนในมือตำรวจหนุ่มฟาดท้ายทอยน้าแสงเต็มแรง  ร่างเปลือยทรุดฮวบลงกับพื้น
ตลาดเงียบงันคล้ายป่าช้า(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๙๔-๙๕)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความรักชาติในทางที่ผิดๆ รักชาติแบบคลั่งชาติ จนหลงลืมความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ผลสุดท้ายจบลงด้วยการสูญเสียของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องในวันที่วัวยังชนอยู่
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวที่ทำให้นึกย้อนไปถึงอดีต ผ่านงานวันสงกรานต์ที่มีวัวชนซึ่งถือว่าเป็นมหรสพของงาน ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                เสียงเฮลั่นขึ้น  เมื่อเจ้าโหนดเขาโง้งและเจ้าแดงเพลิงเขาแบะเสือกหัวเข้าห้ำหั่นกัน 
หน้าโพธิ์ทั้งสองฝ่ายปะทะลั่นโผง  ชัดถนัดถนี่เหมือนเครื่องการันตีความดุเดือดเลือดพล่าน
ที่กำลังเกิดขึ้น(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๐๕)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความสนุกสนาน เพลิดเพลินของมนุษย์ที่ได้เห็นการต่อสู้ของสัตว์เป็นเรื่องสนุก เป็นการลงทุนเกมการพนัน เพื่อหวังกำไรส่วนตน จนหลงลืมไปว่าสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักชีวิตของมันเช่นกัน มันคงไม่ต้องการความสุขจากการต่อสู้ที่อาจนำไปสู่หนทางสายมรณะเช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องการความสุข โดยไม่ต้องสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ไป

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องบาดทะยัก
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของสามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นเหตุการณ์ก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์  แม้ว่าผู้เป็นสามีจะได้รับบาดเจ็บจากการถูกมีดที่มีสนิมบาด แต่ก็ยังต้องการมีความสัมพันธ์กับภรรยาของตน โดยไม่สนใจคำเตือนจากอีกฝ่ายที่เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตจากบาดทะยัก ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                “ ‘ไม่ได้! ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า  เดี๋ยวฉันขับรถให้
ใจเย็นๆ สิ  จะรีบร้อนไปไหน  คุณหยิบมีดมาให้ผมดูหน่อย
หล่อนหยิบมีดแล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ เขา  กลิ่นกายหล่อนกรุ่นออกมา  เขารับมีดแล้วเพ่งมอง 
มืออีกข้างรวบสะเอวหล่อน  เขาทิ้งมีด  รั้งร่างหล่อนเข้ามากอดแน่นแล้วพลิกร่าง
ขึ้นทาบทับ
เกิดบ้าอะไรขึ้นมาล่ะเนี่ยมือคุณยังเจ็บอยู่นะ
อารมณ์ในกายเขาคุกรุ่น  ระดมจูบอย่างไม่บันยะบันยัง  หล่อนโอยอ่อนผ่อนตาม...
หลังเสร็จกิจ  เขานอนแผ่หลา  หอบกระเส่าอยู่ข้างเตียง  เมื่อมองไปที่แผล  เขาแทบไม่รู้สึก
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิ้วมาก่อน(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๓๒-๑๓๓)
จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่าความต้องการสัมพันธ์สวาทของมนุษย์ บดบังแม้กระทั่ง
ความตายที่อาจเกิดขึ้น  สื่อถึงความหลงลืมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดีว่ามนุษย์เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาทอย่างแท้จริง

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องราตรีมีชีวิต...
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของจำเริญพนักงานเก็บขยะที่ลูกสาวของเขามีความต้องการบริโภค
ไก่เคเอฟซี ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                จำเริญเดินผ่านห้างฯ  ครั้นเลยมาถึงร้านขายไก่ทอดยี่ห้อฝรั่งเขาชะงักเท้า  นึกไปถึงคำ
อ้อนวอนของลูกสาว  หลายครั้งแล้วสินะ  ที่ก่อนออกจากบ้าน  ลูกเป็นต้องสั่งให้เขาซื้อ
ไก่ทอดยี่ห้อนี้ไปฝาก  หลายครั้งอีกเช่นกันที่เขาเผลอลืมไป  และอีกหลายครั้งที่เขา
นึกขึ้นได้  แต่ไม่กล้าเข้าไปซื้อ เขากลัวเหลือเกินว่าจะไปทำตัวเงอะงะสั่งอะไรไม่ถูกไม่ต้อง  จนครั้งหลังสุด  เขาเลยซื้อไก่ทอดของป้าเอมไปให้  โดยคิดว่ามันก็เป็นไก่ทอดเหมือนกัน  ลูกสาวกลับปฏิเสธ  แล้วอธิบายให้เขาฟังเสียยกใหญ่ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร  เขารู้สึกว่าลูกฉลาดกว่าเขา  เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยกับสิ่งที่ลูกอธิบาย  มารู้ความจริงวันหลังจาก
นังน้อยว่า  แกเอาไก่ทอดที่เขาซื้อมาโยนให้ไอ้ด่างหมาข้างบ้านกิน
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๓๘)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ติดอยู่กับกระแสบริโภคนิยม มีความต้องการสิ่งที่กำลังอยู่ในกระแสสังคมยุคปัจจุบัน จนหลงลืมไปว่าสิ่งอื่นก็สามารถทดแทนมันได้เหมือนกัน ไม่แลเห็นคุณค่าของมันเพียงเพราะมันไม่ต้องเป็นสิ่งที่ตนต้องการ
                ตัวละครได้กล่าวถึงสิ่งที่มากับขยะว่ามีหลากหลายแบบ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                เป็นเช่นนี้เสมอล่ะ  เขาอาจเจออะไรก็ได้มนถังขยะ  ของบางอย่างไม่สมควรมาเป็นขยะ
ก็ยังกลายเป็นขยะ  บางสิ่งมีคุณค่ายิ่งกว่าขยะก็ถูกทำให้ปะปนเข้ามาอยู่กับขยะ
เขาเคยประหลาดใจแกมดีใจ  เมื่อเจอแบงค์ห้าร้อยพับนิ่งอยู่ในถุงพลาสติก  และถึงกับ
อ้าปากค้าง  เมื่อพบสร้อยคอทองคำหนึ่งบาทฝังตัวอยู่ในเนื้อแตงโม และถึงเคยกับตะลึง
พรึงเพริดเมื่อเจอเข้ากับก้อนเลือดทารกน้อยที่ถูกแม่ใจร้ายทำแท้งมาทิ้งไว้  เคยถึงกับ
ขนหัวลุก  ตาเบิกโพรง  เมื่อเจอชิ้นส่วนมนุษย์ถูกชำแหละทิ้งไว้ในถังขยะ
ใช่แล้วล่ะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพร้อมที่จะเป็นขยะด้วยกันทั้งนั้น
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๔๖-๑๔๗)
จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความหลงลืมของมนุษย์ ที่ทิ้งแม้กระทั่งสิ่งที่มีคุณค่า  มีชีวิต สื่อให้เห็นว่ามนุษย์ขาดสติสัมปชัญญะ เพราะมัวหลงไปกับกระแสสังคมที่ไหลไปดังสายน้ำที่ไม่มีวันย้อนกลับ
  
มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องวาวแสงแห่งศรัทธา
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวทางการเมือง ผ่านทางการเลือกตั้ง ที่มีวาระแฝง  การหาสียงในทางที่มิชอบ  และความหมดศรัทธาทางด้านการเมืองของตัวละคร ทว่าสายใยความเป็นพ่อลูก กลับทำให้ความศรัทธาของเขาคล้ายจะหวนกลับมาอีกครั้ง ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                ถึงที่สุดแล้วเขาก็ยังเชื่อพ่อ  ไม่ใช่เพราะเป็นนักการเมืองหรือคาดหวังประโยชน์จากหน้าที่
การงานของพ่อ  แต่เพราะความเป็นพ่อมากกว่า  เขาเชื่อว่าพ่อไม่โกหก  น้ำเสียงของพ่อ
กังวานใส  ดูมีชีวิตชีวา  มิได้เฉยชาหรือกระแนะกระแหนเช่นสี่ปีที่แล้ว  พ่อคงประหลาดใจ
เช่นกันกับผลสำเร็จที่เกิดขึ้น  และคงยิ่งเข้าใจอะไรดีขึ้น  เมื่อสิ่งที่เขาและเพื่อนๆ ได้ทำไว้
เมื่อสี่ปีที่แล้ว  กลับผลิดอกออกผลให้แกได้เก็บกินใช้สอย
ศรัทธาบางอย่างคล้ายๆ จะกลับคืนมา  ภาพเหตุการณ์เมื่อสี่ปีที่แล้วคล้ายวาบชัดขึ้นมา 
ขณะเดียวกันภาพบรรยากาศตอนพลบค่ำบนรถไฟขบวนกลับบ้านก็ซ้อนทับขึ้นมาเช่นกัน  เขาเห็นไฟลิบๆ  จากขอบฟ้าไกล
ใช่ในความมืดก็ยังเห็นแสงวาววามอยู่ไกลๆ(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๗๑)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่ามนุษย์หลงลืมสำนึกปัจจุบัน เพราะมัวแต่อยู่กับสำนึกในอดีต จนทำให้ขาดการพินิจ พิจารณา ไตร่ตรองด้วยกระบวนการคิดที่มีสำนึกดีกำกับอยู่

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องแก้วสองใบ
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงที่มีการศึกษาระดับสูง หน้าที่การงานดี มีลูกสาวน่ารัก ทว่ามีสามีที่ไม่เอาไหน เธอได้สนทนาใกล้ชิดกับแม่บ้าน ซึ่งแม่บ้านมีส่วนช่วยในการตัดสินใจของเธอ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                แต่หนูก็ช่างน้ำหนักแล้วละค่ะว่าผอ.ชอบแก้วใบเล็กมากกว่าก็เลยเลือกเก็บแก้วใบเล็กไว้ 
หนูคิดของหนูอย่างนี้แหละค่ะ  ผอ.คงไม่ว่าอะไรนะคะ’  มาลีรีบชิงอธิบายเมื่อเห็นหล่อน
ไม่ว่าอะไร
ดีแล้วล่ะ  ขอบใจมาก
มาลีเดินออกไปจากห้อง  หล่อนนิ่งไปพักหนึ่ง  มองไปที่แก้วกาแฟใบเล็ก  นึกถึงคำพูดมาลี 
ใช่แล้ว  บางครั้งคนเราจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกบางสิ่งบางอย่าง  เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์
ที่จำเป็นต้องเลือก  หล่อนลูบคลำแก้วกาแฟใบเล็กไปมาคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ถึงตอนนี้หล่อนจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกบ้างละ(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๑๘๔)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นความหลงลืมของตัวละคร ที่หากใช้ความคิดพิจารณาอีกสักนิดก็จะสามารถรักษาแก้วทั้งสองใบไว้ได้ โดยที่ไม่ต้องสูญเสียแก้วสักใบ เพราะไม่พิจารณาให้ดีเสียก่อนมนุษย์จึงเชื่อคำพูดของผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องวิทยานิพนธ์ดีเด่น
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของวงการศึกษา ผ่านเรื่องราวของตัวละครที่ชื่อสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
                                สมบูรณ์เดินขึ้นสะพานลอย  หยุดยืนนิ่งกลางสะพาน  มองไปยังป้ายรถเมล์ที่สลัวราง
อยู่ในม่านราตรี  เขายกวิทยานิพนธ์ปึกใหญ่ขึ้นจูบ  ลมเย็นโชยเข้ามา  เขารู้สึกเย็นรื่น
ไปทั้งร่าง  ก้มลงยัดกระดาษปึกใหญ่ลงในซองน้ำตาล  ขณะจะหย่อนแผ่นดิสก์ตามลงไป 
เสียงปืนดังลั่นมาจากป้อมตำรวจสามนัด  เขาสะดุ้งตกใจ  แผ่นดิสก์หลุดมือตกลงบน
พื้นสะพาน  มันกลิ้งทำท่าจะตกลงไปบนพื้นถนน  เขาใจหายวาบรีบกระโจนตะครุบหมับ
ไว้ในอุ้งมือ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ป้อมตำรวจ  เขารีบก้าวเดิน  มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีก  ภารกิจ
ของเขาจบลงแล้ว  เขาไม่มีอะไรให้ต้องกังวลในเมื่อวิทยานิพนธ์ของเขาปลอดภัยอยู่ในมือ
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๒๐๖)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของผู้ที่ได้รับการศึกษาในระดับที่สูง จนหลงลืมคุณธรรมบางประการในการอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่แลเห็นคุณค่าความสำคัญของเพื่อนมนุษย์ กันตัวเองออกมาเพราะเห็นว่าตนจักเสียประโยชน์ และเอาตัวเข้าใกล้เพราะเห็นว่าตนจักได้ประโยชน์
สื่อถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่มีอยู่ทุกอณูเนื้อ ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงออกมากี่มากน้อย

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องฟ้าเดียวกัน
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของเด็กชายฟ้าเดียวกัน ที่มีพ่อเป็นอดีตนักปฏิวัติผู้เก่งกล้า ทว่าไม่มีความเข้าใจในการปฏิบัติตัวในฐานะของพ่อที่พึงกระทำแก่ลูก กลับแสดงออกในวิถีของตน ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
ประตูห้องถูกถีบเข้ามาอย่างถือวิสาสะ  ฟ้าเดียวกันและเพื่อนๆ ตะลึงงัน  หันไปมอง
เป็นจุดเดียว  โลกคล้ายหยุดหมุนเมื่อร่างทะมึนยืนขวางประตูอยู่เบื้องหน้า  สีหน้าถมึงทึง 
ยากที่จะไม่ให้นึกถึงปีศาจร้ายที่กำลังเข้าตะโปมขย้ำเหยื่อ  ทุกอย่างชะงักงัน  เสียงดนตรี
เงียบลง  เจ้าปีศาจร้ายขยับกายเข้ามาเรื่อยๆ  เพื่อนๆ กรีดร้องลั่นแตกฮือวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
เจ้าปีศาจร้ายมุ่งตรงมายังฟ้าเดียวกันด้วยริ้วโกรธที่เต้นริกๆ บนเรียวหน้า  ฟ้าเดียวกันโกรธ
เช่นกันที่โลกส่วนตัวของตนเองถูกทำลายลงต่อหน้า  โลกที่แยกออกต่างหากกับโลกของ
พ่ออย่างสิ้นเชิง  ฟ้าเดียวกันไม่เคยล้ำเส้นเข้าไปในอาณาจักรของพ่อ  และคิดว่าพ่อก็คง
ไม่เข้ามายุ่มย่ามกับโลกส่วนตัวของฟ้าเดียวกันเช่นกัน  ชักจะมากไปแล้ว  ทำไมพ่อถึง
ไม่ให้เกียรติกันบ้าง  พ่อแหกกติกาเข้ามาทำลายทุกอย่างป่นปี้  ถึงตอนนี้ฟ้าเดียวกัน
ไม่กลัวพ่ออีกแล้ว  ปักหลักยืนนิ่งเชิดหน้า  ส่งนัยน์ตาแข็งกร้าวเข้าโรมรัน
ฟ้าเดียวกันถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้นเมื่อเจ้าปีศาจร้ายฟาดฝ่ามือเข้ามาที่หน้าอย่างจัง 
รู้สึกชาไปทั้งหน้า  เลือดกบปาก  เจ้าปีศาจร้ายยังไม่หนำใจจับฟ้าเดียวกันยกขึ้น
แล้วโยนไปบนเตียง  พร้อมตวาดอย่างเดือดดาล
ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  หากนักปฏิวัติอย่างข้าจะมีลูกเป็นกระเทยเอ็งเลิกเลยนะ
ไม่งั้นข้าเอาเอ็งตาย
อย่างที่บอกแล้วไงว่าอดีตนักปฏิวัติคนนั้นไม่ใช่พ่อของฟ้าเดียวกัน  มันคือเจ้าปีศาจร้าย 
มันเดินออกไปแล้ว  กลับไปอยู่ในอาณาจักรของมันอีกครั้งหลังทำลายอาณาจักรของคนอื่น
เสียย่อยยับป่นปี้  มันคงปลาบปลื้มมากสิท่า  ถึงได้จุดบุหรี่สูบอย่างสบายอารมณ์
(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๒๒๕-๒๒๖)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงการแสดงออกในทางที่ผิดของผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักปฏิวัติ ทว่ากลับใช้บทบาทนั้นในการแสดงออกในฐานะของพ่อ จนหลงลืมที่จะแสดงความโอบอ้อมอารีในฐานะที่ตนเป็นพ่อ ไม่ใช่ผู้นำการปฏิวัติแต่อย่างใด ไม่ทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของลูก กระทั่งลงไม้ลงมือทำร้ายลูกในอุทรของตน เพราะติดอยู่กับบทบาทของนักปฏิวัติจนลืมกระทั่งสัญชาตญาณความเป็นพ่อ

มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ในเรื่องวันหนึ่งของชีวิต
                ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของชายที่ไปร่วมงานศพของแม่เพื่อน และได้เข้าไปช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เรื่องราวจบด้วยชายผู้นั้นถูกเซอร์ไพรซ์วันเกิดของเขา ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า
                                ทันใดนั้น  ไฟสว่างพรึบขึ้น  พร้อมเสียง
แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู  แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู...
เทียนบนเค้กก้อนใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะถูกจุดขึ้น  เสียงเพลงยังดังต่อเนื่อง  ข้าพเจ้าตะลึงงัน 
ปล่อยลมหายใจโล่งอก  ทรุดลงก้นจ้ำเบ้า  โยนไม้ออกไปข้างนอก  ปาดเหงื่อตรงหน้าผาก 
ความเครียดคลายตัวลง  พร้อมสบถในใจ
เล่นอะไรกันนี่  ตกอกตกใจหมด’  ข้าพเจ้าถามแก้เก้อ
ก็วันนี้วันเกิดคุณนี่คะ’  ภรรยาพูดขึ้น  หน้ายิ้มแป้น  ลูกเลยอยากเซอร์ไพรซ์คุณ
บ้าจริงๆ เลย  เล่นเอาผมประสาทกิน  ทีหลังไม่เล่นอย่างนี้อีกนะ  อันตราย’  ลูกสาวโผ
เข้ามากอด  อาการโกรธหายไป  อมแก้มลูกฟอดใหญ่
เอ๊...วันนี้วันเกิดพ่อหรือ’  ลูกสาวพยักหน้า
วันนี้เป็นวันเกิดข้าพเจ้าจริงหรือ(วัชระ สัจจะสารสิน, ๒๕๕๖: ๒๔๐)
                จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ดำเนินชีวิตแบบผ่านพ้นไปวันๆ  มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในแต่ละวันของการใช้ชีวิต  จนหลงลืมที่จะเหลียวมองเรื่องรอบตัวของตนเอง เพราะขาดสติ 
ขาดสำนึกในปัจจุบันนั่นเอง

สรุป
                เรื่องสั้น เรื่อง เราหลงลืมอะไรบางอย่าง สื่อถึงความหลงลืมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เรื่องของตนเอง  คนรอบข้าง  หรือแม้กระทั่งสังคม  สิ่งที่ครอบงำให้มนุษย์หลงลืมนั้นมีทั้งความลุ่มหลงในตัณหาราคะ  ความเห็นแก่ตัว  ความประมาท  ความเชื่อที่ถูกสะสมมาแต่ช้านาน  ความผิดหวังจากอดีต กระแสนิยม ฯลฯ จนทำให้มนุษย์ลืมนึกถึงความผิดชอบชั่วดี  การอยู่ร่วมกันในสังคม  ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ 
กลับปล่อยให้วันเวลาหมุนผ่านไปอย่างไม่คำนึงถึงจิตสำนึกทางสังคม
                นับว่าผลงานของวัชระ สัจจะสารสินชุดนี้เป็นผลงานที่สะท้อนภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาได้เป็นอย่างดี  ทำให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดได้ว่าแท้จริงแล้วเราควรอยู่กับความคิดเดิมในอดีตหรือว่ามีสติกับปัจจุบันกันแน่

เอกสารอ้างอิง 
วัชระ สัจจะสารสิน.  (๒๕๕๖).  เราหลงลืมอะไรบางอย่าง.  พิมพ์ครั้งที่ ๑๕.  กรุงเทพฯ : นาคร.

นางสาวปรียาภรณ์   โนนแก้ว
รหัสนักศึกษา ๕๔๓๔๑๐๐๑๐๓๐๗
คณะครุศาสตร์   สาขาภาษาไทย
ชั้นปีที่ ๓   หมู่ ๓

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม